ซูบารุ สุดปลื้ม ยอดขาย ส.ค.สร้างประวัติศาสตร์ ทะลุ 900 คัน โอด รถยนต์ ขาดตลาด เหตุปรับไลน์การผลิตที่มาเลเซีย คาดล็อตใหม่เข้าเดือน พ.ย. ด้านมาสด้าฟุ้งขายโตต่อเนื่อง 23% อัดแคมเปญดอกเบี้ย 0% หวังโกยยอดไม่ยั้ง มั่นใจครองอันดับ 3 ตลาด รถยนต์ นั่ง คาดการณ์ถึงสิ้นปีการแข่งขันดุเดือด

ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ทีซี ซูบารุ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีการปรับลดเป้า จาก 6,000 เป็น 5,500 คัน เนื่องจากกำลังการผลิตโรงงานที่ประเทศมาเลเซีย มีการปรับไลน์ รถยนต์ รุ่นใหม่ ที่จะเปิดตัวในปี 2560 ทำให้ผลิต รถยนต์ ได้ไม่ทันกับความต้องการของลูกค้า

“เราปรับลดเป้า เพราะไลน์การผลิตที่มาเลเซีย ทำการปรับปรุงเพื่อรับกับการผลิต รถยนต์ รุ่นใหม่ ประกอบกับมีการประเมินตลาดที่คลาดเคลื่อน เพราะในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นไต้หวัน ฟิลิปปินส์ รถยนต์รุ่นฟอเรสเตอร์ขายดีมาก และบริษัทแม่ก็คาดหวังว่า ในไทยจะเป็นไปตามที่ทางนั้น แต่พอทำตลาดจริงๆ รถยนต์ รุ่นเอ็กซ์วี ก็ยังคงขายได้ดีกว่าฟอเรสเตอร์ ดังนั้นตอนนี้เราจึงมีการกำหนดกลยุทธ์และประเมินตลาดกันใหม่”

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณายอดส่งมอบ รถยนต์ ตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม ที่ผ่านมา พบว่าซูบารุ สามารถทำยอดขายได้ 3,100 คัน ส่วนยอดจองที่เข้ามามีกว่า 4,000 คัน เฉพาะเดือนสิงหาคม สามารถทำยอดขายได้สูงสุดเป็นประวัติกว่า 900 คัน จากเดิมที่ต่อเดือนจะทำยอดขายประมาณ 500 คัน โดย รถยนต์ รุ่นที่ขายดียังคงเป็นเอ็กซ์วี ตามมาด้วยฟอเรสเตอร์

“รถยนต์ รุ่นเอ็กซ์วี ตอนนี้ขาดตลาด ทั้งรุ่นไอ และรุ่นพรีเมี่ยม ส่วนรุ่นครอสเทค ซึ่งได้โควต้ามา 300 คัน ก็จะหมดแล้ว อาจจะยังเหลือบางสี ซึ่งบริษัทมีการสั่งล็อตใหม่เข้ามาอีก 300-500 คัน คาดว่า รถยนต์ จะพร้อมเข้ามาในเดือนพฤศจิกายน เพื่อให้ทันกับช่วงงาน มอเตอร์เเอ็กซ์โป ส่วนรุ่นอื่นๆ อย่างฟอเรสเตอร์ ก็ยังมี รถยนต์ พร้อมส่ง ด้านรุ่นเลอวอร์กขายหมดแล้ว เพราะได้โควต้าไม่มากนัก ในกลุ่มดับเบิ้ลยูอาร์เอ็กซ์ ก็เหลือไม่ถึง 20 คัน ซึ่ง รถยนต์ ในกลุ่มนำเข้าตอนนี้ หากลูกค้าเข้ามาจองก็อาจจะต้องรอประมาณ 3 เดือน ส่วนเรื่องราคาว่าจะปรับขึ้นอีกหรือไม่นั้น ในเบื้องต้นรุ่นเอ็กซ์วีไม่น่าจะมีการปรับขึ้นอีกแล้ว”

ปัจจัยที่ทำให้ยอดขายของซูบารุเติบโตในช่วงที่ผ่านมา เป็นเพราะว่าตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการ รถยนต์ ในแบบครอสโอเวอร์ ฐานล้อยาว รถขนาดใหญ่ ปัจจัยต่อมาคือ ราคา ซึ่งมีทั้งผลบวกและผลลบ โดย รถยนต์ ของซูบารุ มีความอ่อนไหวด้านราคา มีการปรับขึ้น-ลงบ่อย ช่วงที่ราคาลดลงเป็นผลมาจากชุดคิตที่นำมาประกอบ มีการนำเข้าจากญี่ปุ่น และได้รับประโยชน์จากค่าเงินเยนที่อ่อนตัว แต่ปัจจุบันมีการปรับราคาขึ้น เพราะค่าเงินเยนแข็งขึ้นมากกว่า 30%

ส่วนทางด้าน ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่ายอดขาย 8 เดือนของปี 2559 สามารถทำยอดได้ 28,184 คัน เติบโต 23% แบ่งออกเป็น มาสด้า2 จำนวน 15,185 คัน, มาสด้า3 จำนวน 2,753 คัน, มาสด้า CX-3 จำนวน 3,572 คัน, มาสด้า CX-5 จำนวน 2,112 คัน, มาสด้า บีที-50 โปร จำนวน 4,540 คันและ MX-5 จำนวน 22 คัน

ขณะที่ยอดขายรวมของทั้งตลาด ตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม อยู่ที่ประมาณ 4.9 แสนคัน คาดว่าอีก 4 เดือนที่เหลือหลังจากนี้ ตลาดจะกลับมาคึกคัก โดยบริษัทประเมินว่ายอดขายรวมของทั้งตลาดจะอยู่ที่ 7.8 แสนคัน เนื่องจากมีปัจจัยบวก อาทิ แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ และความมั่นใจของผู้บริโภคที่เริ่มดีขึ้น ประกอบกับแต่ละค่ายจะมีการเปิดตัว รถยนต์ ใหม่ และทำตลาดเป็นอย่างเข้มข้น ในส่วนของมาสด้ามีความพร้อมด้านเทคโนโลยี มี รถยนต์ ที่ตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าในเซกเมนท์ต่างๆ ทำให้มั่นใจว่าและคาดว่า จะทำยอดขายได้ 4.5 หมื่นคัน

“เราคาดว่าจะครองส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 5.7% โดยเฉพาะเซ็กเมนต์ รถยนต์ นั่ง ที่คาดการณ์ไว้ว่าจะทำได้ 13% หรือถึงสิ้นปีจะครองอันดับ 3 ของตลาด รถยนต์ นั่ง ส่วนตลาดรวมแม้จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ยอดขายโดยเฉลี่ยของแต่ละเดือนอยู่ที่ 6 หมื่นคัน ซึ่งบริษัทก็คาดว่าอีก 4 เดือนที่เหลือนี้ จะมีการแข่งขันกันดุเดือด และยอดขายน่าจะกลับมาฟื้นคืนได้”

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ