หลังพ้นน้ำท่วมมาเกือบ 2 ปี ตัวเลขสินไหมทดแทนของธุรกิจประกันวินาศภัยลดลงเป็นลำดับ ข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจ ประกันภัย (คปภ.) ระบุในช่วง 3 เดือนแรกปี 2556 ค่าสินไหมทดแทนจากการรับ ประกันภัย โดยตรงมีจำนวน 64,801 ล้านบาท ลดลง 48,490 ล้านบาท หรือ 42.80% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีค่าสินไหมถึง 113,292 ล้านบาท ขณะที่ลอสส์เรโชลดลงจาก 71.36% เหลือ 35.78% เทียบกับเบี้ย ประกันภัย ทั้งระบบ 51,065 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.83%

รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเศรษฐกิจ ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในฐานะกรรมการสมาคมประกันวินาศภัยไทย ให้ความเห็นว่า สินไหมทดแทนลดลงมาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่
1. สินไหมทดแทนเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปลายปี 2554
2. เบี้ยประกันวินาศภัยยกเว้น ประกันภัยรถยนต์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในปี 2555 และ
3. ในปี 2555 มีความเสียหายเกิดขึ้นน้อยมาก

"เหตุการณ์น้ำท่วม บริษัท ประกันภัย ต้องบันทึกค่าสินไหมจำนวนมาก ในบัญชีปี 2555 ทำให้ปีนั้นสินไหมปรับตัวสูงขึ้นเยอะ ขณะที่เบี้ยประกันวินาศภัยไม่รวม ประกันภัยรถยนต์ ปรับขึ้นหมดอย่างมีนัยยะสำคัญ ทำให้เบี้ย ประกันภัย จำนวนมากไหลเข้าระบบ การรับรู้รายได้มากขึ้นเยอะ อีกทั้งในปีที่ผ่านมาไม่มีภัยใหญ่เกิดขึ้น เป็นปีที่ผลการรับ ประกันภัย ดีที่สุดในรอบ 10 ปี ทุกบริษัทมีกำไร"

ทั้งนี้ เชื่อว่าแนวโน้มสินไหมในไตรมาสสอง ไตรมาสสาม และสี่ปีนี้ จะค่อยๆ ลดลง ซึ่งหากรับรู้ผลเสียหายจากน้ำท่วมแล้วเสร็จ ซึ่งขณะนี้รอความเสียหายจาก ประกันภัย ธุรกิจหยุดชะงัก (bi) ยังไม่ได้ตัวเลขสุดท้าย คาดว่าสินไหมทดแทนจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติต้นปี 2557

" ประกันภัย ธุรกิจหยุดชะงักยังเจรจากันอยู่ เนื่องจาก ประกันภัย ตัวนี้คุ้มครองการหาสินค้าทดแทนด้วย ถ้าผู้ผลิตที่รอสินค้าจากไทยหาสินค้ามาทดแทนได้ การผลิตเดินหน้าได้ ส่วนต่างของความเสียหายตรงนี้จะลดลง ตรงกันข้ามถ้าหาสินค้ามาทดแทนไม่ได้ ต้องหยุดผลิตความเสียหายจะมีมาก"

อย่างไรก็ดี ปัจจัยจากเบี้ย ประกันภัย ที่เพิ่มขึ้นมากในปีที่ผ่านมา จะไม่ปรากฏในปีนี้ ซึ่งเบี้ย ประกันภัย ทยอยปรับตัวลดลง โดยเฉพาะ ประกันภัย พิบัติ ประกันภัย ธรรมชาติ เนื่องจากความสามารถในการรับ ประกันภัย (คาปาซิตี้) ของบริษัท ประกันภัย กลับคืนมา ผู้รับ ประกันภัยต่อ (รีอินชัวเรอส์) ที่เคยปฏิเสธไม่รับ ประกันภัย ต่อ กลับมารับเหมือนเดิม เหมือนกำลังซื้อกลับมา อีกทั้งการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล และภาคอุตสาหกรรม ที่เห็นผลเป็นรูปธรรม มีผลต่อเบี้ย ประกันภัย มาก คาดว่าเบี้ย ประกันภัย ทุกประเภท ยกเว้น ประกันภัยรถยนต์ จะปรับตัวลดลงประมาณ 15-20% ก่อนจะเข้าสู่ระดับปกติในไตรมาสหนึ่งปีหน้า

"การที่คาปาซิตี้เพิ่มขึ้น รีอินชัวเรอส์ กลับมาแข่งขันเหมือนเดิม การต่อรองราคาเบี้ย ประกันภัย มีมาก ทำให้เบี้ย ประกันภัย ลดลงเท่ากับเบี้ย ประกันภัย ที่ถือเป็นรายได้ของบริษัทน้อยลง แต่ความเสี่ยงภัยยังเกิดขึ้นเป็นปกติ เมื่อถึงตอนนั้นสินไหมทดแทนจะเพิ่มขึ้น เพราะเวลาคำนวณลอสส์ เรโช เราเอาเบี้ยที่ถือเป็นรายได้เป็นฐานคำนวณ ซึ่งเมื่อฐานเบี้ยที่ถือเป็นรายได้เล็กลง แต่สินไหมยังเกิดเหมือนเดิมลอสส์ เรโชย่อมเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับความเสี่ยงภัยที่แท้จริง เป็นตัวเลขที่ถูกต้อง เทียบกับตอนนี้เป็นภาพลวงตาอยู่"

แม้เบี้ย ประกันภัย ทุกตัวจะปรับตัวลดลง แต่จะถูกชดเชยด้วยสินค้าใหม่ๆ ที่แทรกเข้ามาในตลาด เช่น ประกันภัย รายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) และภาวะที่ประชาชนตื่นตัวหันมาทำ ประกันภัย มากขึ้นหลังน้ำท่วม ทำให้จำนวนกรมธรรม์เพิ่มขึ้น เบี้ย ประกันภัย ทั้งระบบเพิ่มขึ้น หากรวมรถยนต์คันแรกด้วย เชื่อว่าปีนี้เบี้ยประกันวินาศภัยทะลุ 200,000 ล้านบาทแน่นอน

อย่างไรก็ดี ในส่วนของเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ เนื่องจากปีก่อนประชาชนซื้อความต้องการล่วงหน้าไปแล้ว ขณะที่ปีนี้ความต้องการในตลาดจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ภายหลังการส่งมอบรถยนต์ใหม่ ที่ค้างมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมากว่า 400,000 คัน ที่คาดว่าจะส่งมอบเสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ดังนั้น คาดว่ายอดขายรถยนต์ใหม่จะลดลงในช่วงไตรมาสสามและสี่นี้ ก่อนจะฟื้นอีกครั้งในไตรมาสหนึ่งปีหน้า จากงานมอเตอร์โชว์

ที่มา : สยามธุรกิจ