ทูเดย์อินชัวร์ จำหน่าย ประกันภัยรถยนต์ ราคาถูก
สำหรับสมาชิก todayinsure.com ระบบงาน TodayInsure C.R.M. หมายเลขใบอนุญาตของ TodayInsure: 5104006215
ขณะนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัตหน้าที่อยู่ โทรหาเรา (02) 952-7322, (086)378-9671 หรือ email: sales@todayinsure.com

ข่าวประชาสัมพันธ์-สื่อสารองค์กร

เลือก ยางรถยนต์ อย่างถูกต้อง

ยางรถยนต์ เปรียบเหมือนรองเท้าคู่ใจ พาเราไปในทุกเส้นทาง ต้องดูแลยางอย่างดี เพื่ื่อจะไม่สร้างปัญญหา สร้างความสุข ปลอดภัย ให้กับเราและครอบครัว

เลือก ยางรถยนต์ อย่างถูกต้อง

กันยายน

18

ทุกวันนี้ รถยนต์ เป็นปัจจัยสำคัญ ที่หลายๆ บุคคล หลายๆ ครอบครอบครัว จะต้องมี่ รถยนต์ ไว้เพื่อใช้งาน รถยนต์ เป็นของใช้ที่มีค่า (ค่าใช้จ่าย) ต้องดูแลอย่างดี เพราะเป็นส่วนหนึ่งในการงานได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด ไม่สร้างปัญญหา สร้างความสุข สนุก ปลอดภัย ให้กับเราและครอบครัว และสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับรถยนต์อย่างมากก็คือ ยางรถยนต์ เพราะ ยางรถยนต์ เปรียบเหมือน รองเท้า คู่ใจ ที่จะพาขับเคลื่อนไปในเส้นทางที่เราต้องการ

ยางรถยนต์ จะทำหน้าที่ รับน้ำหนักตัวรถ ลดแรงกระแทก การสั่นสะเทือนจากพื้นถนน ถ่ายทอดแรงขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์สู่พื้นถนน ควบคุมทิศทางที่จะไปได้ง่ายขึ้น และส่วนประกอบสำคัญของยาง คือ เนื้อยางด้านนอก (ส่วนที่สัมผัสพื้นถนน) ถัดมาคือส่วนเสริมความแข็งแรงของยาง และโครงยาง ส่วนประกอบเหล่านี้จะทำให้ยางแข็งแรงและช่วยให้ยึดเกาะถนนได้ดี ลองดูวิธีการเลือก และการดูแลรักษา ยางรถยนต์ ชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์

1. รู้จักกับดอกยาง

ดอกยาง เป็นส่วนประกอบแรก จะเห็นตั้งแต่เวลาเลือกยาง บางคนอาจเลือกยางจาก ความสวยของดอกยาง ทำให้ลืมเรื่องสำคัญ “หน้าที่ของดอกยาง” จริงๆ แล้วดอกยางทำหน้าที่ “ยึดเกาะพื้นถนนและรีดน้ำ” ช่วยควบคุมทิศทางโดยไม่ลื่นไถล และยังช่วยกระจายน้ำหนัก รักษาสมดุลของ รถยนต์ แถมด้วยเรื่อง ช่วยประหยัดน้ำมัน อีกด้วย

ประเภทของ ดอกยาง แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ
- แบบสมมาตร (Non-Directional) ลักษณะดอกยางแบบนี้จะเหมือนกันทั้ง 2 ด้านทั้งซ้าย ขวา จะเน้นความนุ่มนวล ขับขี่สบาย สามารถสลับยางได้ทุกด้าน ดูแลรักษาง่าย และที่สำคัญ ประหยัดและคุ้มค่า
- แบบไม่สมมาตร (Asymmetrical) ลักษณะดอกยางจะแตกต่างกันทั้ง 2 ด้าน เพื่อใช้ในรถที่สมรรถนะสูง เข้าโค้งได้ดี และราคาค่อนข้างสูง
- แบบกำหนดทิศทางการหมุน (Directional) ลักษณะนี้จะเป็นแบบทิศทางที่ต้องใส่ ตามที่ยางกำหนด มีคุณสมบัติรีดน้ำได้ดีมากที่สุด เหมาะกับรถยนต์ที่ใช้ความเร็วสูง แต่ราคาแพง

ฉะนั้นการเลือกยางควรเลือกยางให้เหมาะหรือตรงกับการใช้งานของ รถยนต์ อย่างรถยนต์ที่ใช้ประจำวัน ควรเลือกแบบสมมาตร เพราะจะได้ประสิทธิภาพที่ครอบคลุมการใช้งาน และช่วยการประหยัดน้ำมัน คุ้มค่าเรื่องราคา

2. ตัวเลข ตัวอักษร บนแก้มยางบอกอะไร

อีกเรื่องที่ต้องรู้คือตัวเลขบนแก้มยาง บอกอะไรเราได้บ้าง ยกตัวอย่างเช่น

"195/60 R15" กลุ่มเลขแบบนี้จะเห็นได้บนยางทุกเส้น จะแตกต่างกันบ้าง ตามขนาด และประเภทของยาง วิธีการอ่าน ก็คือ เลข 195 หมายถึงขนาดของหน้ายาง หรือความกว้างของยาง จะมีหน่วยเป็นมิลลิเมตร เช่น ยางเส้นนี้มีขนาดความกว้างอยู่ที่ 195 มม.

เลข 60 คือ เป็นเลขจำนวนเปอร์เซ็นต์ บอกความสูงของแก้มยาง ต่อความกว้างของหน้ายาง วิธีคำนวณก็คือ 195 x (60/100) = 117 มม. ความสูงของยางเส้นนี้คือ 117 มม.

ชุดเลข R15 หมายถึง ตัว R คือยางเป็นประเภทเรเดียล และ15 คือขนาดของยางที่จะใช้กับวงล้อ ขนาด 15 นิ้ว

นอกจากตัวเลขชุดนี้แล้วยังมี กลุ่มตัวเลขอีกชุดที่ควรรู้ เพราะจะบอกถึงช่วงเวลาที่ผลิต เวลาเลือกจะได้รู้ว่าเป็นยางที่ผลิตเมื่อไหร่ ไม่เก่าเกินไปที่จะนำมาใช้งาน ตัวอย่างเช่น 1017 วิธีการอ่านก็จะอ่านกันเป็นคู่ๆ โดย เลขคู่หน้าหมายถึง สัปดาห์ที่ผลิต โดยนับจากจำนวนสัปดาห์ทั้งปี 52 สัปดาห์ เลขคู่หลังหมายถึงปี ค.ศ. เช่น เลข 17 คือ ปี 2017 ถ้าอ่านคู่กันก็คือสัปดาห์ที่ 10 ปี 2017 หรือประมาณเดือนมีนาคม ปี 2017

3. เลือกให้ถูก ทั้งสมรรถนะ และความประหยัด

ปกติผู้ผลิต รถยนต์ จะเลือกขนาดยางที่เหมาะสมกับตัวรถที่จำหน่ายอยู่แล้ว จะเน้นไปตามจุดเด่น หรือจุดขายของรถรุ่นนั้นๆ แต่ในปัจจุบันหลายๆ ค่ายต่างก็มุ่งเน้นกันที่ความประหยัด ยาง ก็เช่นเดียวกัน การเลือกยางเพื่อความคุ้มค่า และความประหยัด เป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน ถ้ามาพร้อมกับสมรรถนะที่ดี ก็ยิ่งคุ้มค่า

ดังนั้นควรเลือกยางที่มีเทคโนโลยี ลดการต้านทานการหมุนที่ดี ใช้ส่วนผสมเนื้อยางด้วยวัสถุดิบที่เหมาะสม จะช่วยให้ยางมีสมรรถนะที่ดี และช่วยประหยัดน้ำมันด้วย ส่วนของดอกยาง ร่องยาง จะมีผลในเรื่องของการยึดเกาะถนน และอายุการใช้งานที่ยาวนานมากขึ้น ก่อนเลือกซื้อควรศึกษาข้อมูลของผู้ผลิตให้ดี

4. เวลาที่ควรเปลี่ยนยาง

ยางรถยนต์ โดยส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งาน 3-5 ปี แต่ช่วงเวลาที่เหมาะกับการเปลี่ยนยาง คือ เป็นไปตามสภาพของยาง และดอกยางในปัจจุบัน เนื่องจากการใช้งานยางจะต้องเจอกับพื้นถนนที่แตกต่างกันหลายแบบ ถูกวัสดุของแหลมคม หลุมบ่อ การกระแทกที่รุนแรง

ดังนั้นเมื่อยางเกิดรอยแผล บวม โครงสร้างยางเสียหาย ดอกยางสึกหรอ ความลึกร่องยางเหลือไม่ถึง 1.5 มม. หรือจอดเฉยๆ ไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน ทำให้ยางเสื่อมแข็ง ควรจะรีบเปลี่ยนยางทันทีเพื่อความปลอดภัย ควรตรวจเช็คยางที่ใช้อยู่เป็นประจำ เพื่อให้รู้ว่าสมควรเปลี่ยนได้หรือยัง และควรทำการสลับยางทุกๆ 10,000–15,000 กม. ของการใช้งาน เพราะจะช่วยให้ยางแต่ละเส้นมีการสึกหรอที่ใกล้เคียงกัน สามารถใช้ยางได้อย่างมีประสิทธิภาพ เต็มอายุการใช้งาน

5. มั่นใจตลอดการใช้งาน ปลอดภัยทุกการขับขี่

การเลือกยางเป็นเรื่องสำคัญ และการเลือกยาง ควรเลือกจากผู้ผลิตยางที่ได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับ และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย มีศูนย์บริการครอบคลุมอยู่ทุกพื้นที่ หลายสาขา พร้อมเจ้าหน้าที่ที่มีประสบการณ์ ทำให้มั่นใจได้ว่าจะได้รับการบริการและดูแลยาง เมื่อมีปัญหา หรือต้องการเปลี่ยนยางใหม่ เจ้าของงรถจะได้ยางที่เหมาะกับการใช้งาน ได้ความประหยัด นุ่มสบาย คุ้มค่าเงินในกระเป๋า

เครดิต: siamsport

ที่มา : ทูเดย์อินชัวร์