14
อุปกรณ์ต่างๆ ใน รถยนต์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหมั่นดูแลรักษา สังเกตอาการ การเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ เป็นเรื่องสำคัญที่คนใช้รถจะละเลยไม่ได้ เพราะนี่คือหัวใจสำคัญของ รถยนต์ ไม่เช่นนั้นรถเราจะจอดจอดอยู่เฉยๆ เท่านั้น
แบตเตอรี่รถยนต์ (Car Battery) เป็นพลังงานเริ่มต้น รถยนต์ มีหน้าที่ส่งกระแสไฟที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ไปยังมอเตอร์สตาร์ท เพื่อทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ติด เมื่อเครื่องยนต์ทำงานแล้ว แบตเตอรี่ ก็หมดหน้าที่
จากนั้นในเครื่องยนต์จะมี ไดชาร์จ ซึ่งมีหน้าที่ชาร์จกระแสไฟกลับเข้าไปยังแบตเตอรี่จนเต็มเรียบร้อยแล้ว จะมีอุปกรณ์ตัดไฟในรถยนต์เรียกว่า คัทเอาท์ ทำหน้าที่ตัดการชาร์จไฟ ไม่ให้กระแสไฟถูกชาร์จเข้าไปในแบตเตอรี่มากหรือน้อยเกินไป เนื่องจากถ้าแบตเตอรี่ได้รับไฟมากหรือน้อยเกินไปแล้ว จะทำให้แบตเตอรี่นั้นเกิดการเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร
แล้วเราจะใช้แบตเตอรี่แบบไหนดี เป็นคำถามที่ผู้ใช้รถส่วนใหญ่อยากรู้ ซึ่งหากลองเดินไปถามที่ร้านจำหน่ายแบตเตอรี่ใกล้บ้าน ก็อาจจะได้คำตอบและข้อมูลเรื่องแบตเตอรี่จากผู้ขาย และรวมถึงน่าจะต้องเจอก็คือคำถามกลับมาด้วยว่า ต้องการใช้ แบตเตอรี่แห้ง (แบตเตอรี่แบบพร้อมใช้) หรือ แบตเตอรี่ที่ต้องเติมน้ำกลั่น แบตเตอรี่กึ่งแห้ง และ แบตเตอรี่ไฮบริด ซึ่งแบตเตอรี่แต่ละชนิดแต่ละแบบ ก็จะมีลักษณะการใช้งานและคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป
1. แบตเตอรี่น้ำ หรือ แบตเตอรี่ธรรมดา (Conventional Battery) คือ เป็นแบตเตอรี่ที่ต้องทำการเติมกรดเจือจาง (น้ำกลั่น) แล้วทำการชาร์จไฟก่อนนำไปใช้งาน และผู้ใช้ควรหมั่นตรวจดูระดับของน้ำให้อยู่ที่ขีดบนเท่านั้น เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาในการดูแลรถพอสมควร เพื่อให้แบตเตอรี่อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานตลอดเวลา
ข้อดี : มีความทนทานต่อการปะจุไฟเกินและคายประจุ มีอายุที่ใช้งานค่อนข้างนาน และที่สำคัญราคาถูก
ข้อเสีย : ต้องคอยตรวจสอบระดับน้ำกลั่นก่อนการใช้งานอยู่เสมอ อาจจะสัปดาห์ละครั้ง ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และหากมีการเคลื่อนย้ายตัวแบตเตอรี่ ต้องระมัดระวังสารละลายที่อาจรั่วไหลออกมาได้
2. แบตเตอรี่พร้อมใช้ (Maintenance Free Battery) ประเภท แบตเตอรี่กึ่งแห้ง หรือ แบต SMF แบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้ทันที และไม่ต้องดูแลตลอดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ โดยสามารถตรวจสอบสถานะการทำงานเบื้องต้นได้จากการดูที่ตาแมว (Cat eye) เท่านั้น ควรหมั่นตรวจสอบระดับน้ำกลั่นปีละ 1-2 ครั้ง เนื่องจากน้ำกรดภายในแบตเตอรี่กึ่งแห้งนั้นจะเข้มข้นกว่าน้ำกรดในแบตเตอรี่ชนิดน้ำมาก ทำให้ระเหยได้ช้ากว่า
ข้อดี : ไม่ต้องตรวจเช็คหรือคอยเติมน้ำกลั่นบ่อยเหมือนกับแบตเตอรี่น้ำ เพราะภายในแบตเตอรี่มีการป้องกันการระเหยของน้ำกลั่นที่แน่นหนาพอสมควร
ข้อเสีย : แม้จะไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย แต่ก็ต้องหมั่นตรวจเช็คอยู่สม่ำเสมอ อายุการใช้งานอาจไม่นานเท่าแบตเตอรี่น้ำ
3. แบตเตอรี่พร้อมใช้ (Maintenance Free Battery) ประเภท แบตเตอรี่ชนิดไม่ต้องการบำรุงรักษา หรือ แบตเตอรี่แห้ง เป็นแบตเตอรี่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากแบตเตอรี่แห้งนั้นไม่จำเป็นต้องดูแลอะไรเลย อาจจะเหมาะกับคนในยุคปัจจุบันเพราะไม่ต้องคอยเติมน้ำกลั่น และแบตเตอรี่แห้งนั้นสามารถปล่อยทิ้งไว้ในสภาพไม่มีประจุไฟได้นานกว่าแบตเตอรี่ธรรมดา โดยไม่ต้องชาร์จไฟเพื่อกระตุ้นแบตเตอรี่
ข้อดี : เหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลรถยนต์ ไม่ต้องตรวจเช็คบ่อยๆ ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น แบตเตอรี่ไม่หมด แม้ไม่ได้ใช้รถเป็นเวลานาน
ข้อเสีย : มีราคาสูงกว่าแบตเตอรี่น้ำ และแบตเตอรี่กึ่งแห้ง และที่ตัวแบตเตอรี่จะมีรูระบายอากาศที่ค่อนข้างเล็ก ซึ่งอาจอุดตันได้ง่าย ส่งผลต่อแรงดันภายในแบตเตอรี่
4. แบตเตอรี่ไฮบริด คือ แบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้ทันที พัฒนามาจากแบตเตอรี่น้ำ เพื่อเป็นการแก้ไขข้อเสียของแบตเตอรี่น้ำที่มีการระเหยของน้ำกลั่นที่สูงมาก ซึ่งแบตเตอรี่ไฮบริดจะมีอัตราการระเหยของน้ำกลั่นน้อยกว่าแบตเตอรี่รุ่นธรรมดามาก มักใช้กับรถที่ใช้งานหนักๆ เช่น รถบรรทุก รถโดยสาร หรือรถรับจ้าง เป็นต้น
ข้อดี : มีการระเหยของน้ำกลั่นน้อยกว่าแบตเตอรี่รุ่นธรรมดามาก ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน
ข้อเสีย : มีราคาที่สูงมาก มักใช้กับรถขนาดใหญ่
แบตเตอรี่แต่ละชนิดต่างก็มีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งคงต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้รถว่าจะเลือกใช้แบบไหนดี หากต้องการแบตเตอรี่ที่ทนทาน ราคาถูก แบตเตอรี่น้ำ จะตอบโจทย์ข้อนี้ที่สุด แต่ต้องหมั่นตรวจสอบระดับน้ำกลั่นเป็นประจำ อย่างสม่ำเสมอ ส่วนใครที่สตาร์ตรถแล้วขับออกไปทำงานทันที ไม่มีเวลาจะมาตรวจเช็คอะไรบ่อยๆ และไม่เกี่ยงเรื่องราคา แบตเตอรี่แบบแห้ง เหมาะกับคุณมากที่สุด ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น ไฟไม่หมดแม้ไม่ค่อยได้ใช้รถ แต่อาจจะต้องเสียเงินมากขึ้น อย่างไรก็ตามผู้ใช้รถก็ควรศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือสอบถามจากผู้ผลิต ว่ารถของแต่ละท่านเหมาะสำหรับแบตเตอรี่แบบไหน
การเลือกแบตเตอรี่ทุกครั้ง ควรใช้แบตเตอรี่ที่มีขนาดเท่าเดิม และมีแอมป์เท่าเดิม เนื่องจากขนาดและแอมป์ที่ใช้อยู่เดิมนั้น เหมาะสมกับ รถยนต์ แล้ว โดยวิศวกรจากโรงงานผลิตรถยนต์ได้กำหนดให้แบตเตอรี่เหมาะสมกับอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าใน รถยนต์ แต่ละรุ่นไว้เรียบร้อยแล้ว หากต้องการเพิ่มขนาดและแอมป์แบตเตอรี่ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุด
เครดิต: เพจ เรื่องรถน่ารู้
ที่มา : ทูเดย์อินชัวร์