หลังจากเบอร์หนึ่งประกันวินาศภัย "วิริยะประกันภัย" เปิดยุทธศาสตร์รับมือเออีซีไปแล้วเมื่อตอนต้นปี อีกหนึ่งเป้าหมายที่ต้องพัฒนาให้สอดรับกัน คือ การบริการหลังการขาย ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ การยกระดับศูนย์ซ่อมมาตรฐานวิริยะประกันภัย ที่มีอยู่ทั้งหมด 600 อู่ทั่วประเทศ ให้มีคุณภาพทัดเทียมกับอู่ห้าง เพื่อให้ซ่อมทันความต้องการลูกค้า และมากกว่านั้นยังผลักดันให้ศูนย์ซ่อมมาตรฐานเหล่านี้ เป็นศูนย์บริการสินไหม ประกันภัยรถยนต์ ไปในตัว รองรับให้ทันปริมาณเคลม ประกันภัยรถยนต์ ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และเปิดโครงการอบรมช่างซ่อมเอง แก้ปัญหาขาดแคลนช่างซ่อมฝีมือ ซึ่งตลาดกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ
ประธานชมรมศูนย์ซ่อมมาตรฐานวิริยะประกันภัยภาค 6 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ศูนย์ซ่อมภาค 6 ได้ริเริ่มโครงการความร่วมมือผลิตบุคลากรช่างซ่อมยานยนต์ขึ้น เพื่อป้อนให้กับอู่ในเครือภาค 6 ทั้ง 140 อู่ เนื่องจากปัจจุบันช่างชำนาญงานในธุรกิจซ่อม รถยนต์ ขาดแคลนอย่างหนัก ไม่มีสถานศึกษาผลิตบุคลากรป้อนตลาดเป็นตัวเป็นตน แม้ช่างยนต์จบมาแล้วก็เตะฝุ่นเยอะ ไม่มีงานรองรับ ขณะที่ช่างตัวถัง ช่างสีกลับขาดแคลน สวนทางกับความต้องการในตลาดที่มีเยอะมาก วิริยะเองก็หาไม่ได้ เลยเปิดหลักสูตรขึ้นมา
"เรามีความร่วมมือทวิภาคีกับวิทยาลัยการอาชีพทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือหลายแห่ง เอาเด็กอาชีวะปี 3 เด็ก ปวส.ปี 2 มาฝึกงานช่างยนต์ที่ศูนย์ซ่อมวิริยะ 1 ปี จบแล้วสามารถไปประกอบอาชีพได้เลย โดยเดือนแรกจะเริ่มจากจับมือสอน มีเบี้ยเลี้ยงให้วันละ 200 บาท เมื่อเป็นงานแล้วสอบผ่าน จะปรับให้เป็นวันละ 300-350 บาท มีที่พักให้ด้วย หากจบแล้วจะเพิ่มเป็น 450-500 บาทต่อวัน แล้วแต่ผลงาน เราทำอยู่ในหลักสูตรการเรียนของวิทยาลัยเลย พอจบคอร์ส 1 ปี ทางวิทยาลัยจะออกประกาศนียบัตรให้"
ทั้งนี้เริ่มเปิดโครงการในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีเด็กมาฝึก 20 คน จาก 2 วิทยาลัย คือ วิทยาลัยการอาชีพเลิงนกทา และวิทยาลัยการอาชีพโพนทอง จ.ร้อยเอ็ด หลังจากนั้น 1 เดือน เหลือเด็กอยู่ 16 คน ซึ่งที่ออกไปมีทั้งคิดถึงบ้าน และสุขภาพไม่ดี โดย 1 เดือนแรกจะฝึกที่อู่เจริญกิจราชพฤกษ์ เน้นช่างโป๊วสี ช่างเตรียมงานพื้น ซึ่งต้องมีฝีมือ มีประสบการณ์ พอเข้าเดือนสองจะเริ่มกระจายเด็กไปฝึกยังศูนย์ซ่อมทั้ง 6 แห่งที่ร่วมโครงการ ได้แก่ บริษัท วิริยะคาร์บอดี้ จำกัด บริษัท เฮงบอดี้คาร์ จำกัด บริษัท วีการาจ จำกัด บริษัท รามอินทราการาจ จำกัด บริษัท เป้งการาจ จำกัด และบริษัท เจริญกิจราชพฤกษ์ จำกัด เพื่อเริ่มทำงานจริง ซึ่งหากว่าโครงการได้ผลดี อนาคตจะขยายเป็นแหล่งป้อนช่างฝีมือให้กับวิริยะ เช่น วิริยะบอดี้คาร์ อู่ซ่อมเบนซ์ที่เป็นศูนย์เรียนรู้ของช่างซ่อมเบนซ์ทั่วประเทศ และจะขอการสนับสนุนจากวิริยะเองด้วย
สถานการณ์ช่างซ่อมในปัจจุบัน หากเป็นการซ่อมตัวถังสีอยู่ในขั้นวิกฤติ ขาดแคลนอย่างหนัก สาเหตุมาจาก รถยนต์ ขายดี ดีลเลอร์ขาย รถยนต์ เปิดขึ้นมากกว่าเดิมถึง 20-30% เกิดการซื้อตัวแย่งชิงช่างเกิดขึ้น ซึ่งอู่ห้างเหล่านี้จะให้อัตราการจ้างสูงกว่าอู่ทั่วไป 20% เพราะได้เปรียบในด้านอำนาจการซื้อที่มีมากกว่าอู่ทั่วไป ขณะที่งานซ่อมในอู่ห้างง่ายกว่า แค่ถอดเปลี่ยน ถ้าเป็นงานซ่อมหนัก ซึ่งเป็นงานยาก ต้องนัดคิวรอนานไม่ซ่อม จะตกหนักมาที่อู่อย่างของวิริยะ ซึ่งใช้เวลาซ่อมนานกว่า ทำให้ต้นทุนสูงกว่า
"ปีหน้าสถานการณ์การซ่อมไม่น่าจะเปลี่ยนจากปีนี้มากนัก อาจจะหนักมากกว่าด้วย เพราะ รถยนต์ เพิ่มตลอด แต่ช่างใหม่ไม่มีเข้ามาในระบบ ขณะที่ของเก่าก็ขาดแคลนอยู่แล้ว แนวโน้มอู่ซ่อมจะปิดกิจการจะมีมากขึ้น ช่างน้อยลง ระยะเวลาการซ่อมยาวขึ้น อู่ในเครือวิริยะยังไม่กระทบ ขณะที่การขอปรับค่าซ่อมกับทางวิริยะ ก็ขยับค่าซ่อมให้ แต่ไม่ค่อยทันกับเหตุการณ์ค่าครองชีพเพิ่มขึ้น ทั้งค่าแรงขั้นต่ำขึ้นไป 300 บาทนานแล้ว ข้าวตันละ 1.5 หมื่นบาท"
ส่วนแนวทางแก้ไขที่ทำควบคู่กันไปคือ ทางชมรมกำลังหาทางเพิ่มประสิทธิภาพ นำเครื่องมือ เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาในการทำงานมากขึ้น เพื่อทุ่นแรง เช่น งานบางอย่างใช้เวลาซ่อม 3 ชม. ใช้เครื่องทุ่นแรงมาทำเสร็จภายใน 2 ชม. เอาเครื่องมือมาช่วยคนทำงาน ซึ่งทำได้เร็วกว่า ได้งานเพิ่มขึ้น เป็นการกำกับต้นทุนการผลิต โดยกำลังจัดหลักสูตรพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน แม้จะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นในช่วงแรก เพราะต้องซื้อเครื่องมือต่างๆ แต่เรื่องใหญ่ คือ การเปลี่ยนวิธี ทักษะการทำงาน พัฒนาเทคนิคการซ่อมในอุตสาหกรรม ซึ่งวิธีนี้ลดต้นทุนค่าซ่อมได้ประมาณ 10% ขยายช่างใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้น และหวังว่าวิธีใหม่นี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการอู่ซ่อมอยู่รอด
ด้านผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสินไหมทดแทน กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทเริ่มยกระดับอู่ซ่อม โดยนำเกณฑ์ 5 ส ตามระบบบริหารจัดการอู่มาใช้ โดยเริ่มจากภาค 6 กรุงเทพฯ และปริมณฑล ก่อนที่จะขยายไปยังอีก 5 ภาคที่เหลือ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปีหน้า 2557 นั้น ในส่วนของภาค 6 กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีอยู่ 140 อู่ สามารถผ่านเกณฑ์ 5 ส ตามระบบบริหารจัดการภายในอู่ซ่อม 132 อู่ และในจำนวนนี้มี 25 อู่ ที่มีคะแนนเกิน 90 คะแนน ได้รับรางวัล และได้รับสิทธิ์เปิดเป็นศูนย์เคลม ประกันภัยรถยนต์ ได้
"ปีที่แล้ว รถยนต์ คันแรกมีปริมาณมาก ทำให้เรามียอดเคลมประมาณ 6.8 แสนเคลม โดย 60% เป็นเคลมของกรุงเทพฯ และปริมณฑล เราจึงต้องพัฒนาศูนย์ซ่อมมาตรฐาน ให้สามารถเป็นศูนย์เคลม ประกันภัยรถยนต์ ด้วย เพื่อลดขั้นตอนในการทำเคลม และสะดวกต่อลูกค้า และยังได้สาขาบริการเพิ่มอีกทางด้วย โดยลูกค้าไม่ต้องรอพนักงานเคลม ไม่ต้องรออนุมัติซ่อม นำ รถยนต์ เข้าอู่นั้นได้เลย โดยที่บริษัทอนุมัติวงเงินซ่อมให้กับอู่เลย ไม่ต้องรอตั้งเบิก ลด 2 ขั้นตอนนี้ไปได้ เพราะเราจ่ายเคลม ประกันภัยรถยนต์ ทุก 10 วันให้อู่อยู่แล้ว"
นอกจากนี้ ในปีหน้าจะพัฒนาระบบไอที ให้ศูนย์ซ่อมที่ได้รับสิทธิ์เปิดเคลม ประกันภัยรถยนต์ เองได้ สามารถจัดอะไหล่เองได้โดยตรงกับบริษัท วิริยะซัพพลาย จำกัด ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลการสั่งอะไหล่ให้กับอู่ในเครือวิริยะทั้งหมด เพราะปัญหาการซ่อมขณะนี้ส่วนหนึ่งอยู่ที่อะไหล่ช้าด้วย ดังนั้นเมื่อให้อู่เหล่านี้สั่งอะไหล่เอง ก็จะได้บริหารจัดการได้เอง
ส่วนการเคลม ประกันภัยรถยนต์ ปัจจุบันใช้ระบบออนไลน์ ลูกค้าแจ้งเคลม ประกันภัยรถยนต์ หรือสามารถเอา รถยนต์ เข้าซ่อมได้ทั่วประเทศ ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นพื้นที่เกิดเหตุ โดยพนักงานเคลม หรือพนักงานสำรวจอุบัติเหตุ บริษัทมีการพัฒนาประสิทธิภาพต่อเนื่อง โดยเพิ่มจำนวนอีก 200 คน ทำให้ปีนี้มีทั้งหมด 1,400 คน
ที่มา : สยามธุรกิจ