นักวิจัยและให้คำปรึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ บริษัท สวิส รี ยักษ์ ประกันภัย ต่อโลกเปิดเผยว่า ในปี 2555 ที่ผ่านมา ตลาด ประกันภัย ทั่วโลกมีเบี้ย ประกันภัย ราว 4.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 138 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยประกันชีวิต 56%, ประกันวินาศภัย 35% และ ประกันภัย สุขภาพ 9% โดยในส่วนของประกันวินาศภัยที่มีเบี้ย ประกันภัย รวม 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็น ประกันภัยรถยนต์ 39% ประกันภัย ทรัพย์สิน 23% ประกันภัย ความรับผิดบุคคลที่ 3 สัดส่วน 10% ที่เหลือเป็น ประกันภัย อื่นๆ อาทิ ประกันภัย อุบัติเหตุส่วนบุคคล (ประกันพีเอ)
โดยสหรัฐอเมริกาเป็นตลาด ประกันภัย ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ตามด้วยอันดับ 2 ญี่ปุ่น อันดับ 3 อังกฤษ และอันดับ 4 จีน ส่วนไทยอยู่อันดับ 31 ด้วยเบี้ย ประกันภัย รวม 18,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 561,000 ล้านบาท ขณะที่ประเทศที่ซื้อ ประกันภัย คิดเป็นเบี้ยต่อหัวประชากรสูงสุด คือ สวิตเซอร์แลนด์ ด้วยเบี้ย ประกันภัย ต่อหัว 7,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 225,000 บาท ขณะที่ในภูมิภาคเอเชีย มีญี่ปุ่นติดอันดับ 4 ด้วยเบี้ย ประกันภัย ต่อหัว 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 150,000 บาท โดยที่ไทยอยู่อันดับ 53 เบี้ย ประกันภัย ต่อหัว 266 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7,980 บาท
ทั้งนี้โครงสร้างตลาด ประกันภัย ในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยจะเทน้ำหนักมาที่ภูมิภาคเอเชียมาก คาดว่าอีก 10 ปีข้างหน้า หรือในปี 2566 สัดส่วนเบี้ยประกันชีวิตตลาดเกิดใหม่ในเอเชียไม่รวมจีนจะเพิ่มจาก 4% ของตลาดโลกในปีที่ผ่านมา เป็น 6% ส่วนจีนจะเพิ่มจาก 5% เป็น 13% ขณะที่สัดส่วนเบี้ยประกันวินาศภัยตลาดเกิดใหม่ไม่รวมจีน จะเพิ่มจาก 3% ในปีที่ผ่านมา เป็น 4% ส่วนจีนจะเพิ่มจาก 5% เป็น 13%
"โครงสร้างตลาดเปลี่ยนเนื่องจากเศรษฐกิจในเอเชียเติบโตมาก ทำให้ความต้องการทำ ประกันภัย มีมากขึ้น ขณะที่คนชั้นกลางในเอเชียเพิ่มขึ้นมาก ทำให้การซื้อ ประกันภัย เพิ่มขึ้น นอกจากนี้เรื่องของสังคมผู้สูงอายุก็เป็นประเด็นหนึ่งในอนาคต โดยในปี 2573 คนอายุมากกว่า 65 ปีของไทย จะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ของประชากรไทยทั้งประเทศ และจะเพิ่มเป็น 360% ในปี 2593 สะท้อนการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ทำให้เบี้ย ประกันภัย จากกลุ่มผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นแนวโน้มเดียวกันทุกประเทศ"
นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่พัฒนาแล้วที่ยังไม่ฟื้นตัว รวมไปถึงอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยเฉพาะยุโรป อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ที่ขณะนี้ดอกเบี้ยต่ำมากจนเกือบเป็นศูนย์ ผลตอบแทนดอกเบี้ยไม่ค่อยดี ภาวะเช่นนี้เป็นอีกปัจจัย ที่เสริมให้มีโอกาสเกิดการย้ายเงินทุนเข้าสู่ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศเกิดใหม่ในเอเชียในอนาคตเช่นกัน
ส่วนภัยพิบัติที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2513-2553 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ประกันภัย มาก เนื่องจากเกิดความสูญเสียจากภัยพิบัติเยอะ ซึ่งนับจากปี 2533 ความรุนแรงของภัยพิบัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ต้องจ่ายสินไหมทดแทนจากการรับ ประกันภัย พิบัติเยอะขึ้น
ที่มา : สยามธุรกิจ