“เนื้อหาโดยสรุปคือ รัฐบาลและธนาคารกลางของญี่ปุ่น ได้อนุญาตให้บริษัทประกันชีวิตญี่ปุ่นรายใหญ่สุด 4 รายออกไปลงทุนกับต่างชาติได้ บริษัท ประกันภัย เหล่านี้ มีสินทรัพย์รวมมากถึง 332 ล้านล้านเยน การโยกย้ายเพียงเล็กน้อย อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงคร้งใหญ่ตามมา”

“หลังจากสงครามโลกสงบลงแล้ว ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่แพ้สงคราม น่าเห็นใจมาก ไหนจะต้องจ่ายเงินเพื่อชดเชยความเสียหาย แก่หลายประเทศที่ญี่ปุ่นบุกเข้าไปทำลายเขาจนย่อยยับแล้ว ยังไม่มีประเทศไหนให้ญีปุ่นกู้เงิน รัฐบาลญี่ปุ่นในสมัยนั้นจึงอนุญาตให้เอกชน “ตั้งบริษัทประกันชีวิตและ ประกันภัย ” ขึ้นทั่วประเทศ เพื่อระดมเงินจากคนญี่ปุ่น

“หลังจากคนญี่ปุ่นชำระเบี้ย ประกันภัย ให้บริษัทต่าง ๆ และบริษัทเหล่านั้น “กั้น” ส่วนหนึ่งไว้แล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นจึง “ขอกู้เงิน” จากบริษัทประกันชีวิตและ ประกันภัย เหล่านั้น เพื่อนำเงินมาพัฒนาประเทศตัวเอง จน “ฟื้นขึ้นมาได้” ทันตาเห็น วันนี้หลังจากเห็นข่าวดังกล่าวแล้ว

ข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจ ประกันภัย (คปภ.) ทำให้ทราบว่า ในปี 2555 บริษัทประกันชีวิตทั้ง 24 บริษัทในไทย สามารถทำกำไรให้ผู้ถือหุ้นอย่างมหาศาลเพิ่มขึ้น 557 % (อ่านว่า ห้าร้อยห้าสิบเจ็ด เปอร์เซ็นต์) กำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 4.07 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.32 หมื่นล้านบาท เป็นของบริษัทไทย ๆ 2.16 หมื่นล้านบาท และของสาขาต่างประเทศ 1.91 หมื่นล้านบาท สาขาต่างชาติที่ว่าคือ บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ สาขาประเทศไทย หรือที่รู้จักกันในนาม เอไอเอ. นั่นแหละ

คปภ. แจกแจงด้วยว่า เอไอเอ.ได้ส่งกำไรออกไปให้สำนักงานใหญ่จำนวน 1.63 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.3 พันล้านบาท หรือ 36 % เรื่องนี้เราคงไปตำหนิ เอไอเอ.ไม่ได้ เพราะเขามีสิทธิ์ที่จะทำได้ตามกฏและระเบียบของการทำธุรกิจในไทย แต่คำถาม ทำไมรัฐบาลไทยไม่นำเงินจากธุรกิจ ประกันภัย มาพัฒนาประเทศ เหมือนญี่ปุ่น เพราะเห็นว่าเราน่าจะทำได้ ดีกว่าปล่อยให้บริษัท ประกันภัย หรือธนาคารพาณิชย์ ที่ “หันมาถือหุ้น” ในธุรกิจ ประกันภัย “สูบเงินจากกระเป๋าซ้าย ไปใส่กระเป๋าขวา” อย่างที่ทำอยู่

ที่ผมบอกว่าธนาคารพาณิชย์ “หันมาถือหุ้น” ในธุรกิจ ประกันภัย นั้น เพราะในยุคก่อนนั้น ธนาคารแทบไม่สนใจบริษัท ประกันภัย เลย ทั้ง ๆ แต่ปรากฎว่าเดี่ยวนี้ธนาคารหันมาโชว์ธุรกิจ ประกันภัย กันหมดแล้ว วันนี้หลายธนาคารสอนให้พนักงาน “อ้อน” ลูกค้า โอนเงินจากธนาคารไปชำระเบี้ย ประกันภัย เพื่อเอาเงินที่เพิ่มขึ้นไปปล่อยกู้ในรูปแบบต่าง ๆ เพราะทุกธนาคารรู้ว่า กว่ากรมธรรม์ ประกันภัย จะหมดอายุ หรือผู้เอา ประกันภัย “เสียชีวิต” นั้น ต้องใช้เวลายาวนาน ไม่เหมือนฝากเงินกับธนาคาร เรื่องนี้นักเศรษฐศาสตร์ของรัฐบาลก็น่าจะทราบดี

จึงอยากฝากเป็นคำถาม หรือขอสะกิดคนของรัฐบาลให้หันมาสนใจ “เงินก้อนนี้” บ้าง ไม่อยากเห็นรัฐบาลไป “รีดเลือดจากปู” ด้วยการ “กู้จากธนาคารออมสิน” ลองไปดูกฎระเบียบที่วางไว้กับธุรกิจ ประกันภัย ดู เผื่อรัฐบาลจะเจอบ่อเงินบ่อทองบ่อใหม่

ที่มา : สำนักข่าวเจ้าพระยา