กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการจัดสรรวงเงินรับประกันภัยไปยังบริษัทรับประกันภัยต่อ เพื่อเตรียมรับมือในกรณีเกิดเหตุอุทกภัย ซึ่งบริษัทเองก็หวังไว้เป็นอย่างยิ่งว่า ในปีนี้อุทกภัยคงไม่เกิดขึ้นอีก เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลที่ทำในขณะนี้ เป็นการป้องกันในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ซึ่งกรุงเทพมหานครและพื้นที่โดยรวม ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ติดลุ่มแม่น้ำ ถ้ามีการบริหารจัดการน้ำที่ดี เชื่อได้ว่าจะช่วยลดความสูญเสียและความเสียหายได้เป็นอย่างมาก

สำหรับค่าเบี้ยประกันภัยที่สูงขึ้น มีสาเหตุหลักๆ จากผลกระทบน้ำท่วมเมื่อปลายปี2554 หากปีนี้ภาครัฐพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าน้ำไม่ได้ท่วมซ้ำซาก มั่นใจว่าค่าเบี้ยประกันภัยน่าจะลดลง

ส่วนการดำเนินงานของกองทุนประกันภัยพิบัติแห่งชาตินั้น บริษัทเห็นว่าทำสำเร็จไปในระดับหนึ่ง ที่สามารถดึงให้เบี้ยประกันภัยพิบัติลดลงต่ำกว่าที่กองทุนกำหนด เพราะบริษัทประกันภัยกลัวจะเสียลูกค้า จึงเข้ามาเสนอราคาเบี้ยประกันภัยที่แข่งขันกับกองทุน เพราะมองว่าพื้นที่อุตสาหกรรม หรือพื้นที่ที่มีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ มีการสร้างแนวป้องกันน้ำท่วม ที่ทำให้มั่นใจว่าหากมีน้ำท่วมเกิดขึ้น จะไม่ท่วมพื้นที่ที่มีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจเหมือนปีที่ผ่านมา

ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันเบี้ยประกันภัยพิบัติที่บริษัทขายอยู่ที่ระดับ 0.24%-0.5% ของเงินเอาประกันภัย จึงไม่ส่งประกันภัยต่อไปยังกองทุน เพราะเบี้ยประกันภัยต่ำกว่าของกองทุนที่กำหนดไว้ 1%-1.25% เช่น ทุนประกันภัย 1,000 ล้านบาท ต้องจ่ายเบี้ยประมาณ 12.5 ล้านบาทถือว่าแพง

"ดูแล้ว เห็นว่าปีนี้น้ำไม่น่าท่วมหนัก เพราะลูกค้ามีการสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมเสร็จถึง 90% และปริมาณฝนตกน้อยกว่าที่คาดหมายไว้ ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 40% จากปีที่ผ่านมา แต่ ณ วันนี้น้ำไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก และผู้บริหารจัดการน้ำได้บทเรียน จึงมีการป้องกันน้ำท่วมได้ดีกว่าเดิม"

เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่า การซื้อประกันภัยผ่านกองทุนยังไม่มาก เท่าที่ได้รับแจ้งอยู่ที่ 9.29 หมื่นราย วงเงินความคุ้มครอง 9,426 ล้านบาท เบี้ยประกันภัยรวม 65 ล้านบาท แต่คาดว่าถึงสิ้นปีนี้จะมีผู้ทำประกันภัยถึง 7.2 แสนราย วงเงินความคุ้มครอง 3.29 แสนล้านบาท เบี้ยประกันภัยรวม 3,577 ล้านบาท.

ที่มา : อาร์วายทีไนน์