โดย สยามธุรกิจ วันที่ 7 กันยายน 2554 เวลา 00:00 น.
ผู้อำนวยการสมาคมประกันวินาศภัย เปิดเผยถึงโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2554 ที่เพิ่งปิดโครงการไปเมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า หลังจากเปิดขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี คุ้มครองภัยธรรมชาติตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม-31 สิงหาคม รวม 2 เดือน มีนาข้าวทั่วประเทศทำประกันภัยทั้งสิ้น 1,129,419 ไร่ จำนวนเกษตรกรทำประกันภัย 58,415 ราย เบี้ยประกันภัยประมาณ 130 ล้านบาทเศษหรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ของพื้นที่นา 8 ล้านไร่ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ทางธนาคารเพื่อการเกษตรและส่งเสริมการเกษตร (ธ.ก.ส.) ตั้งไว้ ซึ่งพื้นที่ทำประกันภัยส่วนใหญ่เป็นภาคอีสาน เนื่องจากมีที่นาข้าวมากกว่าพื้นที่อื่น
ส่วนค่าสินไหมทดแทนในโครงการ ยังไม่สามารถประเมินได้มากน้อยเพียงใด เพราะการชดเชยค่าเสียหายของบริษัทประกันภัย เป็นส่วนที่ต่อยอดจากการชดเชยของภาครัฐ กล่าวคือเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นเกษตรกรต้องยื่นขอเยียวยาจากภาครัฐก่อน ซึ่งจะชดเชยให้ 606 บาทต่อไร่ หากซื้อประกันภัยในโครงการนี้ไว้ บริษัทประกันภัยจะจ่ายค่าเสียหายเพิ่มเติมให้ ตามที่ระบุไว้ในเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ระยะคือ เสีย หายใน 60 วันแรกจะชดเชยให้เพิ่มอีก 606 บาทต่อไร่เท่ากับภาครัฐ และตั้งแต่วันที่ 61 ไปจนถึงวันที่ 120 วันจะชดเชยให้ 1,400 บาทต่อไร่ เท่ากับเกษตรกรจะได้รับเงินชดเชยทั้งสิ้น 2,006 บาทต่อไร่
ยิ่งกว่านั้น ระยะเวลาการปลูกข้าวของแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน อย่างภาคใต้จะปลูกล่าช้ากว่าพื้นที่อื่นอีก 1-2 เดือน ซึ่งฤดูฝนจะอยู่ในช่วงปลายปี หากเกษตรกรซื้อประกันไว้ก่อนเริ่มเพาะปลูกในอีก 2 เดือนข้างหน้า กรมธรรม์จะคุ้มครองไปอีก 120 วันนับแต่วันเริ่มเพาะปลูก
“เป็นไปได้ที่อาจจะมีนาข้าวเสียหายสูงสุด 1,400 บาท เต็มเพดานเงินชดเชยที่บริษัทประกันภัยจ่ายให้ เพราะมีเกษตรกรบางรายปลูกข้าวไปแล้วถึงค่อยมาซื้อประกันภัย ความคุ้มครองในกรมธรรม์จะดำเนินต่อไปจนถึง 120 วัน แต่สำหรับพื้นที่เจอน้ำท่วมหรือมีการประกาศภัยพิบัติไปก่อนแล้ว ทางธ.ก.ส.จะแจ้งเกษตรกรให้ทราบ บริษัทประกันภัยไม่รับเพราะมีความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว คงต้องรอดูหลังจากเกษตรกรที่เอาประกันภัยกลุ่มนี้ได้รับความเสียหายมากน้อยแค่ไหน หลังจากนั้นเราจะสรุปตัวเลขนาข้าวที่ทำประกันภัย และเบี้ยส่งให้กับบริษัทรับประกันภัยต่อ (รีอินชัวเรอส์) ต่างประเทศ”
โครงการนี้ประกันภัยไว้ในประเทศ 13% อีก 87% ที่เหลือประกันภัยต่อไปต่างประเทศ โดยมีบริษัทประกันวินาศภัยเข้าร่วมโครงการ 8 บริษัท อย่างไรก็ดียอมรับว่าหากปีนี้ขาดทุนจากการรับประกันภัย มีผลต่อการการดำเนินโครงการในปีหน้า เนื่องจากประกันภัยข้าวเป็นประกันภัยประเภทหนึ่ง บริษัทที่รับประกันภัยต้องดูผลประกอบการเป็นอย่างไร ถ้ามีผลประกอบการออกมาขาดทุน หากจะรับประกันภัยต่อคงจะต้องมีการทบทวนเงื่อนไขรับประกันภัย ทั้งเบี้ยประกันภัย และภัยที่ให้ความคุ้มครองอยู่ในวิสัยที่จะรับประกันภัยต่อหรือไม่อย่างไร
อย่างไรก็ดี นายถนัดกล่าวว่า ปัญหาที่พบในปีนี้คือ 1. ความเข้าใจของเกษตรกรเกี่ยวกับเรื่องประกันภัยต้องพยายามให้ความรู้ และ 2. การขายกรมธรรม์เกษตรกรแต่ละภาคปลูกข้าวเหลื่อมล้ำกันมาก อย่างปีนี้กำหนดช่วงเวลาปิดการขายวันที่ 31 สิงหาคม ค่อนข้างเร็วสำหรับเกษตรกรทางภาคใต้ ที่ปลูกข้าวประมาณปลายเดือนตุลาคมล่าช้ากว่าพื้นที่อื่น ในการตัดสินใจซื้อประกันภัยพร้อมพื้นที่อื่น
ดังนั้น อาจจะมีหารือกับรีอินชัวเรอส์ ปีหน้าจะขอกำหนดให้เกษตรกรที่จะซื้อประกันภัย ซื้อก่อนปลูกข้าวประมาณ 2 สัปดาห์ จากปีนี้มีทั้งที่ปลูกไปแล้วซื้อประกันทีหลัง และซื้อก่อนปลูกเหมือนประกันภัย โดยใช้ดัชนีภูมิอากาศ (Weather Index) เพื่อให้มีเวลาช่วงหนึ่งทำให้ความเสี่ยงกระจาย ประกันภัยข้าวคุ้มครองน้ำท่วม ฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ ยกเว้นโรคระบาดและแมลงศัตรูพืช
ที่มา : สยามธุรกิจ