โดย ฐานเศรษฐกิจ วันที่ 18 พฤษภาคม 2554 เวลา 17:32 น.

ธ.ก.ส. หาทางออกยื่นเงื่อนไขสมาคมวินาศภัย เคาะเบี้ยประกันข้าวนาปีแบบขั้นบันไดสูงต่ำตามสัดส่วนพื้นที่ ยอมรับมาตรการสนับสนุนลดดอกเบี้ย 1% ต่อปี เบื้องต้นคาดเกษตรกรเข้าร่วมโครงการไม่น้อยกว่า 30% ของพื้นที่ 57 ล้านไร่ พร้อมทบทวนแนวทางจัดตั้งกองทุนหากประกันภัยไม่เล่นด้วย ด้านกลุ่มอาคเนย์ยันพร้อมโดดใส่เป็นแกนนำรับประกันภัย รอดูท่าทีสมาคมเจรจารีอินชัวเรอร์สัปดาห์นี้

ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า หลังจากทางกระทรวงการคลังได้เสนอให้ทาง ธ.ก.ส. สนับสนุนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำที่สุดลดลง 1% ต่อปี เพื่อให้เกษตรกรกู้เงินกับ ธ.ก.ส. นำจ่ายเบี้ยประกันภัยและซื้อปุ๋ย มั่นใจว่า ธ.ก.ส. จะสามารถเชิญชวนเกษตรกรได้ไม่น้อยกว่า 30% ของพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปี 57 ล้านไร่แน่นอน แต่จะได้ตามเป้าหมายไม่น้อยกว่า 60% ของพื้นที่ทั้งหมดหรือไม่นั้น ทาง ธ.ก.ส. ยังต้องทำประชาสัมพันธ์โครงการและเปิดรับลงทะเบียนในสัปดาห์นี้ เนื่องจากโครงการนี้เป็นภาคสมัครใจคงไม่สามารถบังคับเกษตรกรได้

อย่างไรก็ดี ในสัปดาห์นี้ ธ.ก.ส. จะหารือกับสมาคมประกันวินาศภัยอีกครั้งหนึ่งถึงหลักเกณฑ์การรับประกันและอัตราเบี้ยประกันใหม่ โดย ธ.ก.ส.เตรียมเสนอแนวทางให้บริษัทประกันภัย กำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยเป็นขั้น ตามสัดส่วนพื้นที่ที่เข้ามารับประกันภัยในโครงการ เช่น การแบ่งเป็นอัตราเบี้ยเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ต่ำกว่า 30% , 30% , 60% และมากกว่า 60% ของพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีทั้งหมด ซึ่งหาก ธ.ก.ส. สามารถเชิญชวนเกษตรกรได้มากกว่า 60% เห็นว่าบริษัทประกันภัยต้องคิดเบี้ยประกันในอัตราที่ต่ำลง แต่หากได้น้อยกว่านั้นก็ต้องคิดเบี้ยที่สูงขึ้นถึงจะยุติธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งนี้เมื่อเทียบกันตามมติครม. รัฐบาลได้กำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยกำหนดไว้ที่ 130 บาทต่อไร่ ในจำนวนนี้รัฐบาลจะจ่ายชดเชยให้ในจำนวนมูลค่าเบี้ยที่สูงกว่า 60 บาทต่อไร่ หรือเกษตรกรรับภาระจ่ายเบี้ยประกันภัยที่ 60 บาทต่อไร่ โดยมีเงื่อนไขว่า ธ.ก.ส. จะต้องเชิญชวนเกษตรกรให้เข้ารวมโครงการไม่ต่ำกว่า 60% ของพื้นที่ทั้งหมด และปัจจุบันเกษตรกรมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวรายละประมาณ 15 ไร่ หรือคิดเป็นภาระจ่ายเบี้ยประกันประมาณ 900 บาทต่อคน

อีกทั้ง หากบริษัทประกันภัยไม่พร้อมรับความเสี่ยงในโครงการดังกล่าว ในช่วงเริ่มต้นก็ยังมีแนวทางการจัดตั้งกองทุนเพื่อดำเนินการรับประกันภัย แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน ในเบื้องต้นรัฐต้องใช้เม็ดเงินสนับสนุนให้กองทุนทุกปี ประมาณ 3,500 ล้านบาท หากรวมข้าวโพดและมันสำประหลังด้วยจะเป็นเม็ดเงิน 5,000 ล้านบาท ขณะที่การบริหากองทุน ตั้งในรูปแบบคณะกรรมการ โดยทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้ามาร่วมบริหารได้

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ