โดย สยามธุรกิจ วันที่ 6 เมษายน 2554 เวลา 00:00 น.
กรณีเช่นใดเป็นลักรถยนต์โดยใช้อุบาย และกรณีเช่นใดเป็นฉ้อโกงรถยนต์
เคยมีข่าวปรากฏตามสื่อเกี่ยวกับเหตุการณ์อันเป็นวินาศภัย ที่ทำให้ผู้เอาประกันภัยต้องสูญเสียรถยนต์ที่เอาประกันภัยให้กับมิจฉาชีพหลายราย
ผู้สูญเสียกลุ่มแรก เกิดจากการถูกหลอกลวงให้ทำการเช่าซื้อรถยนต์จากสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และนำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปให้มิจฉาชีพเช่า โดยมีการตกลงว่าจะให้ค่าเช่าเป็นรายเดือนในอัตราที่สูงกว่าราคาค่าเช่าซื้อแต่ละงวด เมื่อมิจฉาชีพได้รับรถยนต์จากผู้ถูกหลอกลวงแล้วก็พารถยนต์หลบหนีไป
ผู้สูญเสียกลุ่มที่สอง เป็นการหลอกลวงผู้ที่เสนอขายรถยนต์ทางอินเตอร์เน็ต โดยมิจฉาชีพหลอกว่าจะขอโอนการเช่าซื้อรถยนต์จากผู้ประกาศขายรถยนต์ โดยให้นำรถยนต์และสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไปส่งมอบให้กับมิจฉาชีพ เมื่อได้รับมอบรถยนต์และสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ แล้วก็พารถยนต์หลบหนีไป โดยไม่ได้ไปกระทำการเปลี่ยนตัวผู้เช่ารถยนต์
ปัญหามีว่าการกระทำของมิจฉาชีพทั้งสองกรณีดังกล่าว จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานลักทรัพย์หรือฐานฉ้อโกง เพราะถ้าเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ย่อมจะได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ที่ให้ความคุ้มครองความสูญหายของรถยนต์ แต่หากเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ย่อมจะไม่ได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
ความผิดฐานลักทรัพย์ได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 ว่า
“ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์”
ส่วนความผิดฐานฉ้อโกงได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ว่า
“ผู้ใดโดยทุจริตหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่สาม ทำถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ์ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง
ที่มา : สยามธุรกิจ