การเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของทรัพย์สิน ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จากข้อมูลของ สถาบันประกันภัยระดับโลก สวิส รี (Swiss Re Institute) เผย ครึ่งปี 62 ภัยพิบัติทางธรรมชาติและมนุษย์สร้างขึ้น สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจทั่วโลก มีมูลค่ารวม 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 1.36 ล้านล้านบาท

จากจำนวนความเสียหายนี้ เป็นเรื่องที่น่าตกใจว่า การเสียหายที่เกิดขึ้นนี้ เจ้าของทรัพย์สินมากกว่าครึ่ง ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายของความเสียหายไว้เอง ไม่ได้รับความคุ้มครองจากระบบ ประกันภัย เพราะจากข้อมูลพบว่า ความเสียหายที่มีการทำ ประกันภัย ไว้ มีเพียงประมาณ 19,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 589,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนแค่ 42% ของความเสียหายทั้งหมด

เบื้องหลังของความเสียหายจากเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาตินั้น พบว่าภัยต่างๆ อาทิ พายฝนฟ้าคะนอง ฝนตกหนัก และหิมะ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความเสียหายสูงที่สุดในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ในช่วงครึ่งปีแรกนี้เช่นกัน โดยหลายภูมิภาคมีผู้เสียชีวิต หรือสูญหายมากกว่า 5,000 คน จากเหตุการณ์เหล่านั้น

ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ แสดงถึงช่องว่างของความคุ้มครอง (Protection gap) ที่มีอยู่เยอะมากในประเทศเกิดใหม่ต่างๆ ตัวอย่างเช่น พายุไซโคลนอิดาอี (Cyclone Idai) ที่ถล่ม 3 ประเทศทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา ได้แก่ ประเทศโมซัมบิก ซิมบับเว และมาลาวี เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งประเทศเหล่านี้ทำ ประกันภัย ต่ำมาก หรือในอินเดียที่ถูกพายุไซโคลนฟานิ (Cyclone Fani) ที่ว่ากันว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปีถล่ม ได้สร้างความเสียหายอย่างหนัก และกินวงกว้างขวางมาก โดยความเสียหายส่วนใหญ่ไม่ได้มี ประกันภัย ไว้เช่นกัน

เครดิต: สยามอินชัวร์ นิวส์

ที่มา : ทูเดย์อินชัวร์