หลายปีที่ผ่านมา ประกันภัยรถยนต์ มีการแข่งขันตัดราคากันมาขึ้น และมีแนวโน้มต่อเนื่อง โดยไม่คำนึงถึงต้นทุนที่แท้จริง ทำให้เกิดปัญหา บริษัทประกันภัย มีการยื้อจ่ายเคลม ซึ่งมีปัญหาร้องเรียนเป็นจำนวนมาก

แหล่งข่าวจากสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า ราคาเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ ภาคสมัครใจ มีการปรับตัวลดลงนับตั้งแต่ปี 2555 จนถึงปัจจุบัน จากผลกระทบของการแข่งขันที่รุนแรง อาทิ การลดราคาเบี้ยโดยตรง โดยไม่ได้คำนึงถึงต้นทุนการดำเนินงานที่แท้จริง ทั้งการลดราคาสำหรับลูกค้าเฉพาะกลุ่มกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ การนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับพฤติกรรมการขับขี่ เพื่อได้รับสิทธิเบี้ยที่ต่ำลงในปีถัดไป รวมทั้งการหันมาขาย ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 2+ และ 3+, การลดทุน ประกันภัย เพื่อให้เบี้ยต่ำ จูงใจ มากขึ้น

ในปี 2555 เบี้ย ประกันภัย เฉลี่ยต่อกรมธรรม์อยู่ที่ 1.26 หมื่นบาท แต่ปัจจุบันเหลือประมาณ 1 หมื่นบาทต้นๆ ซึ่งปีนี้มีการให้ส่วนลดเบี้ยจากการ ติดกล้องวงจรปิด ราคาก็จะถูกลงอีก แต่ทางกลับกันค่าใช้จ่ายรวมที่เกิดจากค่าสินไหมทดแทน และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 85.45% ในปี 2556 มาอยู่ที่ 95.31% เมื่อปี 2559 ส่วนปี 2560 ยังไม่ทราบเท่าไร แต่ในครึ่งแรกของปีนี้จะเห็นว่ากำไรรวมของทั้งธุรกิจ เหลือประมาณ 5,500 ล้านบาท แต่ช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ ประมาณ 9,500 ล้านบาท

โดยกลุ่มที่น่าเป็นห่วง คือที่หั่นราคาเบี้ยลง โดยมีเหตุผลเดียว เพื่อให้ได้เบี้ย ประกันภัย เข้ามาเร็วๆ ท้ายที่สุดแล้ว จะไม่มีเงินเหลือมาพัฒนาบริษัท อาจจะถึงขั้นทำให้ลูกค้าเดือดร้อน จากการ ไม่มีเงินจ่ายสินไหมทดแทน ซึ่งจะส่งผลกระทบภาพลักษณ์โดยรวมของธุรกิจ ประกันภัย เสียหายไปด้วย

ด้านเลขาธิการ สมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า การทำธุรกิจ ประกันภัย จะต้องเปลี่ยน เลิกแข่งขันคิดเบี้ยราคาถูก เช่น ที่บางบริษัทรับ ประกันภัยรถยนต์ ทุกพื้นที่ราคาเดียว ไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงที่แท้จริง หรือการลดวงเงินความคุ้มครองเหลือต่ำๆ เพื่อทำให้เบี้ยถูกลง พอเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาลูกค้าจะต้องควักกระเป๋าจ่ายชดเชย เพราะความคุ้มครองตามสัญญา ประกันภัย ไม่เพียงพอ

ทั้งนี้ การเก็บค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ต่ำๆ ทำให้ต้องมาเข้มงวดการจ่ายสินไหมทดแทน ด้วยการกดราคาต่ำๆ ใช้เวลาเจรจานานกว่าปกติ บางกรณีสินไหมไม่ถึง 1 แสนบาท ใช้เวลาในการนัดเจรจา 4-5 ครั้ง ซึ่งนโยบายเกือบทุกบริษัท จะคุมอัตราการจ่ายสินไหมไม่ให้เกิน 60% เพื่อจะได้มีกำไร ในขณะที่ต่างประเทศมีการจ่ายสินไหมอยู่ที่ 72-75% ซึ่งสูงกว่าไทย แต่อยู่ได้ เพราะมีการหารายได้จากการลงทุนเข้ามาเสริม

สำหรับ 7 เดือนแรกของปีนี้ มีเบี้ยประกันภัยรับรวม จำนวน 1.25 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.37% เป็นเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ 7.28 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.24% ตามการฟื้นตัวของยอดขาย รถยนต์ และจำนวน 15 บริษัทประกันภัย แรก ที่ครองส่วนแบ่งเบี้ย ประกันภัย 73% หรือ 9.12 หมื่นล้านบาทของเบี้ยรับรวม ในขณะที่เหลืออีก 45 บริษัท มีส่วนแบ่งเบี้ย ประกันภัย เพียง 27% หรือ 3.3 หมื่นล้านบาท โดยในปัจจุบันบริษัทขนาดใหญ่ยังไม่ได้ลงมาแข่งเบี้ย เพราะอยากให้เวลา รายเล็ก ปรับตัว เพื่อรับมือกับการเปิดเสรีที่กำลังเข้ามา

เครดิต: โพสต์ทูเดย์

ที่มา : ทูเดย์อินชัวร์