นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ประชาชนจะไหลเข้าระบบการ ประกันภัย มากขึ้น แต่ยอดขายที่เป็นเบี้ยจะเพิ่มในอัตราที่ลดลง สวนทางกับความคุ้มครองที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ทั้งนี้ การไหลเข้าระบบประกันจะเพิ่มจากการ ประกันภัย ข้าวนาปี ที่จะเริ่มมีเบี้ยเข้าสู่ บริษัทประกันภัย แต่เบี้ยต่อไร่ลดลง และ รถยนต์ จะถูกระบายออกจากผู้จัดจำหน่ายถึงมือผู้บริโภค ทำให้จำนวนรถได้รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้น และทุน ประกันภัย รวมเพิ่มขึ้น แต่ด้วยเบี้ยที่ต้องลด 15-20% ทำให้เบี้ยรวมเพิ่มไม่มาก นอกจากนี้ ประกันอัคคีภัย และ ประกันภัยทรัพย์สิน มีการปรับลดลงต่ำกว่าช่วงก่อนน้ำท่วม

"การที่ภาครัฐและ บริษัทประกันภัย สามารถลดเบี้ยลงมาได้ สะท้อนให้เห็นว่า เรามีระบบบริหารจัดการที่ดีขึ้น ทำให้ประชาชน เศรษฐกิจ มีความมั่นคง เพราะหากเกิดความเสี่ยง หรือเกิดความเสียหายจากความเสี่ยง จะมี บริษัทประกันภัย เข้าไปจัดการและดูแลให้ ขณะที่ บริษัทประกันภัย ต่างก็แห่เข้ามาเสนอรับ ประกันภัย จากไทย ถือเป็นเรื่องที่ดี"

นอกจากนี้ การที่มีโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานขนาดใหญ่ ราคาสินค้าเกษตรดีขึ้น จะทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งทันทีที่รายได้เพิ่ม คนจะเริ่มหันมาดูแลสุขภาพ และ ประกันสุขภาพ จะได้รับความสนใจมากขึ้น เป็นความหวังและเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะผลักดันให้เบี้ยรวมเติบโตได้ประมาณ 2-3% หรือประมาณ 2.16 แสนล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าเบี้ยรวมจะเติบโต 3-5% หรือประมาณ 2.18 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของธุรกิจ ประกันภัย ในปีนี้ อาจจะมีโอกาสเติบโตสูงกว่าเป้าได้ หากภาครัฐยอมให้มีการนำเบี้ย ประกันสุขภาพ หักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 หมื่นบาท และเบี้ย ประกันภัย ทางทะเลไปหักลดหย่อนได้ 2 เท่า ซึ่งสมาคมจะทำงานกับภาครัฐอย่างใกล้ชิดต่อไป

ทางสมาคมยังทำงานร่วมกับสภาหอการค้าไทย ในการให้ความรู้ด้าน การบริหารความเสี่ยงให้กับผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่จะเป็นโอกาสในการเติบโตของเบี้ย ประกันภัย อีกด้วย

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา (ม.ค.-มี.ค.) ธุรกิจ ประกันภัย มีเบี้ยรับรวมอยู่ที่ 55,102 ล้านบาท มาจากเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ 31,872 ล้านบาท เบี้ย ประกันภัย เบ็ดเตล็ด 19,462 ล้านบาท เบี้ย ประกันอัคคีภัย 2,305 ล้านบาท และเบี้ย ประภันภัย ทางทะเลและขนส่ง 1,463 ล้านบาท

ที่มา : โพสต์ทูเดย์