ปัจจุบันธนาคารหลายแห่งต่างใช้กลยุทธ์จูงใจให้ลูกค้าเงินกู้บ้าน หันทำ ประกันชีวิต สินเชื่อบ้าน ด้วยความสมัครใจมากขึ้น โดยแลกกับการลด ดอกเบี้ย พิเศษให้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะได้ลด ดอกเบี้ย ขั้นต่ำไป 0.25% เมื่อเทียบกับ ดอกเบี้ย เงินกู้บ้านปกติ
สำหรับแบบ ประกันชีวิต สินเชื่อบ้านนั้น จะเป็นลักษณะที่ให้ผู้กู้จ่ายเบี้ย ประกันภัย เพียงครั้งเดียว และให้ความคุ้มครองผู้กู้ตลอดอายุสัญญาเงินกู้ หรือจนกว่าผู้กู้มีอายุครบตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ โดยแลกกับความคุ้มครองชีวิตของผู้กู้เอง
ทั้งนี้ หากผู้กู้เสียชีวิต หรือทุพพลภาพ ไป ทางบริษัท ประกันภัย ก็จะเข้ามาจ่ายหนี้ที่เหลือทั้งหมด แทนให้กับธนาคาร เท่ากับว่าตัวบ้านหลังนั้นก็จะปลอดภาระหนี้สิน เป็นอิสระ สามารถโอนให้ภรรยา ลูกๆ หรือผู้รับผลประโยชน์ของผู้กู้ได้ทันที โดยไม่ต้องมาวุ่นวายกับหนี้เงินกู้ที่ยังเหลืออยู่อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุชัดเจน ไม่ให้ธนาคารใช้วิธีบังคับลูกค้า หรือใช้วิธีขาย ประกันชีวิต สินเชื่อ พ่วงไปกับการขอเงินกู้บ้าน ทำให้ธนาคารต้องชี้แจงเรื่องการทำ ประกันชีวิต สินเชื่อบ้านกับผู้กู้ให้ชัดเจน ซึ่งหากผู้กู้มีการทำ ประกันชีวิต สินเชื่อบ้านควบคู่กับกู้เงินเกิดขึ้น แน่นนอนว่า ตัวผู้กู้ก็ย่อมลดความเสี่ยงเรื่องหนี้สินค้างชำระ จากเหตุไม่คาดฝันไปได้ ขณะที่ธนาคารก็ลดความเสี่ยงเรื่อง หนี้เสีย ลงไปได้ส่วนหนึ่ง
แต่สำหรับผู้กู้ที่มีปัญหาเรื่องเงินไม่เพียงพอ และคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำทุนประกันให้เต็มวงเงินกู้ 100% เพื่อจะได้ลดค่าเบี้ย ประกันภัย ลง โดยยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นเองส่วนหนึ่ง เช่น ถ้าวงเงินกู้บ้าน 1 ล้านบาท และทำประกันเต็ม 1 ล้านบาท ระยะเวลาเอาประกัน 30 ปี ค่าเบี้ยอยู่ที่ 2 หมื่นบาท
หากอยากจะลดค่าเบี้ย ประกันภัย ให้ตรงกับเงินที่ตั้งไว้ ก็สามารถเสนอบริษัท ประกันภัย ให้ปรับลดวงเงินความคุ้มครอง ประกันภัย ลงเหลือแค่ 5 แสนบาท หรือขอลดระยะเวลาเอา ประกันภัย เหลือ 20 ปี ค่าเบี้ยก็อาจจะถูกปรับลดลงเหลือ 1 หมื่นบาทก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ถือว่าไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด
นอกจากนี้ หากผู้กู้ทำ ประกันชีวิต สินเชื่อบ้าน ที่มีระยะเวลาเอา ประกันภัย 10 ปีขึ้นไป ก็สามารถใช้สิทธินำมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดอีก 1 แสนบาทอีกด้วย นอกเหนือจาก ดอกเบี้ย บ้านที่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้อยู่แล้ว
ถามว่า ตกลงควรทำหรือไม่ทำ ประกันชีวิต สินเชื่อบ้านดี กรณีนี้ต้องแล้วแต่ผู้กู้ว่า มีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน หากคิดว่าอยากจะปิดความเสี่ยงทั้งหมด และมีกำลังทรัพย์เพียงพอ ก็ตัดสินใจทำไปเลย เพราะการที่เราไม่มี ประกันชีวิต สินเชื่อบ้านคู่กับสัญญาเงินกู้นั้น ก็หมายถึงว่า เราและครอบครัวต้องเป็นผู้แบกรับความเสี่ยงไว้เอง 100% หากมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคต ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว จะปล่อยให้ครอบครัวมีความเสี่ยงกับอนาคตทำไม ในเมื่อปัจจุบันเราสามารถเป็น ผู้กำหนดความเสี่ยง ได้เอง
ที่มา : โพสต์ทูเดย์