“เมียนมา” เป็นประเทศที่แทบจะปิดตายด้านนวัตกรรม ฟินเทค ที่ต้องบอกว่าเป็นศูนย์เลยทีเดียว โดยประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้สัมผัสนวัตกรรมใหม่ๆ ทางเทคโนโลยี และถูกปิดตายจากการลงทุนจากต่างประเทศมาหลายทศวรรษ กระทั่งปี 2556 ได้เห็นพัฒนาการด้านการลงทุนเกิดขึ้น โดยบริษัโทรคมมนาคมต่างประเทศ Ooredoo และเทเลนอร์ (Telenor) ได้เปิดช็อปขาย สมาร์ทโฟน จอประชากรเมียนมาจำนวน 54 ล้านคน หลังจากนั้นอัตราการใช้โทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมไปกับความต้องการผลิตภัณฑ์ทางการเงิน

ประเมินว่า ผลิตภัณฑ์ทางการเงินดิจิทัล จะเพิ่มมูลค่าจีดีพีใหม่ให้กับเมียนมาอีก 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 129.5 ล้านล้านบาท ภายในปี 2568 นี้ ขณะที่โทรศัพท์มือถือได้เข้าถึงกลุ่มคนยากจน ที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินได้เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในรูปแบบของการชำระบิลค่าใช้จ่ายและซื้อเกมออนไลน์ โดยคนกลุ่มนี้สามารถที่จะสร้างความน่าเชื่อถือทางการเงิน ที่อาจนำไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น และสร้างความมั่งคั่งมากขึ้น ในชีวิตของพวกเขาได้

โดยบริษัทต่างชาตินาม “สโตนสเตป” (Stonstep) จากสวิตเซอร์แลนด์ ได้มองเห็นโอกาสที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ด้วยการนำกรมธรรม์ ประกันภัย เพื่อรายย่อย หรือ ไมโครอินชัวร์ เจาะเข้าไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเริ่มที่เมียนมาเป็นประเทศแรกเช่นกัน โดยเพิ่งได้รับเงินทุน 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 140 ล้านบาท จากการระดมทุนของ “เอ็กซ์ แอลอินโนเวท” (XL Innovate) สตาร์ทอัพอินชัวร์เทคสำหรับการขยายตลาดครั้งนี้ โดย สโตนสเตป เพิ่งตั้งสำนักงานใหญ่ขึ้นในเมียนมาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และมีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไมโครอินชัวรันส์ตัวแรกในไตรมาสแรกปีนี้

ก่อนที่จัดตั้ง สโตนสเตป ขึ้นมา เขาเป็นผู้สร้างบริษัทไมโครอินชัวรันส์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในละตินอเมริกาให้กับเอไอจีและซูริค โดยเขากล่าวว่า ประเทศต่างๆ อาทิ เมียนมา ความต้องการผลิตภัณฑ์ของประชาชน ต้องเหมาะกับสภาพความเป็นจริงของครัวเรือนส่วนใหญ่ และช่องทางการจัดจำหน่ายที่จะเข้าถึงพวกเขาได้ และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม สโตนสเตป ต้องนำเสนอไมโครอินชัวรันส์ซึ่งเป็นแบบ ประกันภัย เฉพาะกลุ่ม ที่นำเสนอความคุ้มครองที่เหมาะสมกับความต้องการของประชากรในกลุ่มตลาดเกิดใหม่

ขณะที่การ ประกันภัย เป็นตลาดสากล แต่ในเอเชียมีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของครัวเรือนที่เข้าถึง ประกันภัย โดยจากข้อมูลของ สวิส รี ระบุว่า เบี้ย ประกันภัย ต่อจีดีพีของเมียนมาอยู่ที่ 0.08% เท่านั้น ขณะที่ เอเชียอินชัวรันส์รีวิว ประเมินว่า จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.4% ในปี 2573 ด้วยเบี้ย ประกันภัย รวม 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 9.8 หมื่นล้านบาท โดย สโตนสเตป หวังที่จะเพิ่มอัตราการทำ ประกันภัย ผ่านทางเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ร้านค้าปลีก และบริษัทอื่นๆ ที่จะขายผลิตภัณฑ์ ประกันภัย ความเสี่ยงผ่านทางแพลทฟอร์ม และแอพพลิเคชั่น โทรศัพท์มือถือได้

นอกจากนี้ สโตนสเตป ยังเป็นพันธมิตรกับตัวแทนในท้องถิ่น เพื่อชดใช้สินไหมทดแทนให้กับลูกค้าทันที แทนที่จะให้ลูกค้าจ่ายเงินไปก่อน แล้วค่อยไปชดใช้คืนเป็นเงินสดที่หลัง

ปัจจุบัน สโตนสเตป กำลังทำงานร่วมกับพันธมิตรกลุ่มหนึ่งในเมียนมา เพื่อออกแผน ประกันภัย คุ้มครองการเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง และการ ประกันภัย สินเชื่อเพื่อรายย่อย (microloan insurance) โดย ประกันภัย สินเชื่อเพื่อรายย่อยมีกลุ่มเป้าหมายอยู่ที่ องค์กรที่ปล่อยกู้ให้กับประชาชนในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งหากผู้กู้ประสบปัญหาในการชำระคืนเงินกู้ ทั้งเนื่องจากภัยแล้ง หรือน้ำท่วม และวิถีชีวิตที่ยากจน จะทำให้องค์กรที่ปล่อยกู้สูญเสียเงินกู้นั้นๆ และจะกระทบเป็นลูกโซ่ต่อการปล่อยกู้ให้กับผู้มีรายได้น้อยอื่นๆ โดย สโตนสเตป มีจุดมุ่งหมายที่จะถ่ายโอนความเสี่ยง เพื่อลดภาระองค์กรเหล่านี้ รวมไปถึงปรับปรุงความสามารถในการให้กู้ยืมเงินแก่ผู้กู้ด้วย

สำหรับผลิตภัณฑ์ตัวที่สองที่เป็น ประกันภัย การเจ็บป่วยจากโรคร้ายแรง มีเป้าหมายอยู่ที่กลุ่มผู้ใช้แรงงานที่เป็นผู้หารายได้หลักของครอบครัว หากมีอาการหัวใจวาย หรือถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง หรือโรคร้ายแรงอื่นๆ แผน ประกันภัย นี้จะเข้าไปช่วยเยียวยา

สโตนสเตป มองประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว อาทิ ฟิลิปปินส์ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ หลังจากนั้นจะขยายไปยังประเทศอื่นๆ เช่น กัมพูชา เป็นต้น

ที่มา : สยามอินชัวร์ นิวส์