21
เมื่อเจ็บป่วยสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ “ค่ารักษาพยาบาล” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเช่นปัจจุบันนี้ “ค่ารักษาพยาบาล” ทะยานขึ้นสูงตามไปด้วย ประกันสุขภาพ จึงกลายเป็นการรองรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นหลัง การรักษาพยาบาล ได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ก่อนเข้ารับการรักษา ผู้เอาประกันภัย ควรตรวจสอบสิทธิที่ท่านจะได้รับความคุ้มครองจาก ประกันสุขภาพ ที่มีอยู่อย่างระเอียดเสียก่อน ว่ามีสิทธิในการรักษาโรคแต่ละโรคอยู่ที่เท่าไร ซึ่งสามารถเชื่อได้ว่ายังมีผู้เอา ประกันภัย บางรายเข้าใจว่า ประกันสุขภาพ ที่ตนเองมีอยู่จะคุ้มครองค่าใช้จ่ายได้ครบถ้วน
อย่างเช่นการเข้ารับการผ่าตัดบางโรค อาจเข้าใจว่า ประกันสุขภาพ ที่ตนเองทำไว้จะคุ้มครองค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดได้ทั้งหมด 100% แต่เมื่อมาเปิดอ่านรายละเอียดต่างๆ ของกรมธรรม์ โรคบางโรค หมวดตารางอัตราค่าธรรมเนียมการผ่าตัด/วางยาสลบสำหรับบางจุด บริษัทจ่ายให้ 15% ของผลประโยชน์จำนวนสูงสุด หรือการผ่าตัดในโรคเดียวกันแต่เกิดขึ้นต่างกัน บริษัทจ่ายให้ 40% ของผลประโยชน์จำนวนสูงสุด (เงื่อนไขเหล่านี้ไม่ใช่เงื่อนไขตายตัวของทุกกรมธรรม์ สัดส่วนการจ่ายผลประโยชน์จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละแบบประกัน) นั่นหมายความว่า การผ่าตัดครั้งนี้จะมีค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่ต้องจ่ายเพิ่มเอง
ดังนั้น อยากขอแนะนำทุกท่านว่า ควรหาเวลาศึกษาทบทวนและเงื่อนไขกรมธรรม์ต่างๆ ที่ทำไว้ เพื่อให้ทราบว่า ในปัจจุบันตัวเรามีผลประโยชน์หรือความคุ้มครองรายการใดบ้าง ได้อย่างละเท่าไหร่ เหมาะสมกับสถานะในปัจจุบันหรือไม่ ถ้าเกิดเปรียบเทียบความเสี่ยงกับความคุ้มครองที่มี แล้วถ้ารู้สึกไม่ครอบคลุม ก็ให้ปรับเปลี่ยนกรมธรรม์ให้เหมาะสมกับความต้องการและกำลังทุนทรัพย์ของตนเอง
ซึ่งในปัจจุบันก็มีแบบ ประกันสุขภาพ ให้เลือกอยู่ 2 ประเภทคือ แบบ “แยกค่าใช้จ่าย” โดยบริษัทประกันจะกำหนดความคุ้มครองและกำหนดวงเงินความคุ้มครองให้แต่ละรายการ เช่น ค่าห้อง 3,000 บาทต่อคืน, ค่าแพทย์ผ่าตัดและหัตถการต่อการเข้าพักรักษาตัว 80,000 บาทต่อครั้ง เป็นต้น ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะสามารถเบิกเคลมค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นได้ เฉพาะรายการที่กำหนด และเบิกได้ไม่เกินวงเงินที่กำหนดไว้ ส่วนเกินผู้เอาประกันภัยจะต้องจ่ายส่วนที่เกินนั้นเอง สำหรับการเคลมค่ารักษาพยาบาลด้วยโรคเดิมที่ไม่เกิน 90 วัน จะถือเป็นการรักษาครั้งเดียวกัน วงเงินค่ารักษาพยาบาลจะถูกนับต่อเนื่องจากครั้งแรกที่มีการเข้ารับการรักษา แต่ถ้าป่วยด้วยโรคเดิมและเกิน 90 วัน ก็สามารถเคลมค่ารักษาพยาบาลในวงเงินที่เริ่มนับใหม่ได้ทันที
และแบบที่สองคือ “เหมาจ่าย” เป็นแบบที่มีการกำหนดวงเงินเหมาจ่ายเอาไว้ในรอบปีกรมธรรม์ ซึ่งจะเบิกค่ารักษาพยาบาลได้รวมกันต่อปีไม่เกินวงเงินที่กำหนดไว้ วงเงินค่อนข้างสูงถึงหลักล้าน ทำให้ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นจริงได้มากกว่าแบบแยกค่าใช้จ่าย แต่ยิ่งเป็นแผนที่มีวงเงินเหมาจ่ายสูงมากๆ ค่าเบี้ย ประกันสุขภาพ ต่อปีก็จะยิ่งสูงขึ้นไปด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ การเลือกแบบ ประกันสุขภาพ ให้เหมาะสมกับความต้องการ นอกจากอยู่ที่ความพึงพอใจแล้ว ยังขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์ของ ผู้เอาประกันภัย ด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรก่อนเข้ารับการรักษาพยาบาลทุกครั้ง ควรตรวจสอบสิทธิความคุ้มครองก่อนทุกครั้ง และสำหรับคนที่ยังกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนเกิน แนะนำให้เลือกเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ตนเองมีประกันสังคมอยู่ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้อีกทาง
เครดิต: สยามอินชัวร์ นิวส์
ที่มา : ทูเดย์อินชัวร์