เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจ ประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้ากรณีของบริษัท ส่งเสริม ประกันภัย จำกัด ที่คปภ. มีคำสั่งหยุดรับ ประกันภัย ชั่วคราวมาตั้งแต่ 20 กรกฎาคม 2555 ซึ่งทางคณะกรรมการกำกับคปภ. (บอร์ดคปภ.) ให้เวลาแก้ไขปัญหาจนถึง 31 มกราคม 2556 นี้นั้น จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อใดๆ เข้ามาว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร คงยังบอกอะไรไม่ได้ เพราะยังไม่ถึงกำหนด บริษัทยังมีเวลาที่จะแก้ไขจนกว่าจะถึงสิ้นเดือนนี้ คงต้องรอถึงตอนนั้นก่อน

“ส่วนกรณีที่เขายื่นฟ้องปคภ. ว่า คำสั่งหยุดรับ ประกันภัย ไม่ชอบธรรมนั้น ก็ต้องไปว่ากันตามกระบวนการของศาล คนละส่วนกัน ซึ่งถ้าถึงกำหนดสิ้นมกราคม 2556 นี้แล้ว ส่งเสริมฯ ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เราก็จะดำเนินการตามกฎหมาย”

กรณีของบริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด ทราบความคืบหน้าตามข่าวดังปรากฏในขณะนี้ว่า มีนักลงทุนหลายรายให้ความสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มทุนจากสิงคโปร์ ที่มีความคืบหน้าไปมากกว่ากลุ่มอื่น แต่ยังไม่มีการยื่นข้อเสนอคำสั่งซื้อเข้ามา

“กรณีของฟินันซ่าฯ มีสัญญาณที่ดี ที่มีผู้สนใจเข้ามาเพิ่มทุน และผลประกอบการเริ่มดีขึ้น แต่ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการ ซึ่งจริงๆ กำหนด คือ สิ้นธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา แต่ก็เป็นช่วงสิ้นปีที่งานอาจจะยุ่งมากจึงผ่อนผันให้ แต่ตอนนี้เราก็ต้องกำหนดเวลาแก้ไขให้แล้วเสร็จเช่นกัน โดยให้เวลาถึงสิ้นมีนาคม 2556 นี้ ต้องมีผู้ร่วมทุนรายใหม่เข้ามา หากไม่สามารถดำเนินการได้ ก็จะดำเนินการตามกฎหมายเช่นเดียวกัน”

ข่าวจากสำนักงานคปภ. กล่าวเสริมต่อว่า กรณีของ ส่งเสริม ประกันภัย การดำเนินการตามกฎหมายของคปภ. คือ การเสนอต่อบอร์ดคปภ. ว่า จะดำเนินการอย่างไร ซึ่งมี 2 แนวทาง คือ
1. บอร์ดจะถามถึงรายละเอียดของบริษัทว่าเป็นอย่างไร มีการแก้ไขปัญหาที่สมควรจะผ่อนผันเวลาออกไปให้หรือไม่ และ
2. หากบอร์ดพิจารณาแล้วเห็นว่าบริษัทไม่อาจจะแก้ไขปัญหาได้ ก็จะสั่งปิดกิจการ

“กระบวนการตามกฎหมาย ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบอร์ดคปภ.ว่าจะทำอย่างไร จะผ่อนผันเวลาให้ หรือจะสั่งปิดกิจการ คปภ.ไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจ ส่วนกรณีที่บริษัทฟ้องคปภ. นั้น ก็อยู่ในกระบวนการสอบสวนของศาล เพราะตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งจากศาลออกมาว่า คำสั่งหยุดรับ ประกันภัย ชั่วคราวเป็นคำสั่งไม่ชอบ ก็ไม่มีผลต่อกระบวนการพิจารณาของบอร์ดคปภ.”

ส่วนฟินันซ่าประกันชีวิต ถือว่าสถานการณ์ดีขึ้นมาก โดยมีกำไรเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี จากการลงทุนในหุ้นในปีที่ผ่านมา ที่ให้ผลตอบแทนดี จึงส่งผลให้ยอดการขาดทุนลดลงไปมาก เช่นเดียวกับยอดหนี้เสีย (NPL) ที่เกิดจากการกู้ยืม โดยมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ก็มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องเช่นกัน

“เดิมยอดหนี้เสียอยู่ที่ประมาณ 1,400 ล้านบาท ขณะนี้เหลือประมาณ 1,200 ล้านบาท เริ่มมีลูกหนี้มาไถ่ถอนมากขึ้น ขณะที่จำนวนลูกค้าลดลงไปแค่ 20% เท่านั้น ในช่วง 2 ปีที่หยุดรับ ประกันภัย ถือว่าไม่มาก เป็นสัญญาณที่ดี”

ที่มา : สยามธุรกิจ