ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนที่ลดลง เพราะเป็นผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมในปี 2554 ที่ผ่านมา แต่ในด้านของภาพรวมแล้ว เชื่อว่าผลการดำเนินงานปี 2555 ทั้งปีคงไม่ขาดทุนมากเท่ากับปี 2554 แต่ก็ยังขาดทุนอยู่ โดยปี 2554 ถือว่าเป็นปีแรกที่ขาดทุนจากการรับประกันภัย

ส่วนปี 2556 จะไม่ขาดทุนจากการรับประกันภัยอีกต่อไปแล้ว เพราะผลกระทบจากน้ำท่วมน่าจะหมดไปได้แล้ว เพราะบริษัทได้มีการขึ้นค่าเบี้ยประกันภัยมาตั้งแต่ปลายปี 2554 แต่แนวโน้มเบี้ยอาจลดลงได้ เพราะน้ำไม่ท่วมแล้ว และหากในปีหน้าน้ำไม่ท่วมอีก เบี้ยประกันภัยโดยรวมก็อาจจะลดลงได้อีก และในปี 2556 บริษัทก็ได้ปรับแผนมาเน้นตลาดรายย่อยเพิ่ม และได้ปรับแผนมาตั้งแต่ปีนี้แล้ว ซึ่งผลงานจะไปโผล่จริงในปีหน้า ซึ่งจะทำให้สัดส่วนลูกค้ารายย่อยเพิ่มเป็น 30% จากปัจจุบันอยู่ที่ 20% ของพอร์ตรวม

"ภาพรวมในปีนี้ รายได้รวมของเราโดยเฉพาะเบี้ยประกันยังเติบโตได้ที่ประมาณ 15% ในขณะที่เบี้ยประกันภัยรับโดยตรงน่าจะเติบโตได้ที่ประมาณ 19% เบี้ยที่ยังเติบโตดีอยู่เพราะได้อานิสงค์รถยนต์คันแรกของรัฐบาล แต่น้ำท่วมก็ยังส่งผลกระทบต่องบกำไรขาดทุนของบริษัทอยู่ เพราะค่าเสียหายยังคำนวณไม่หมด ที่สำรองเอาไว้ก็ยังไม่พอ เพราะไม่มีใครคิดมาก่อนว่าน้ำจะท่วมขนาดนี้ ซึ่งน้ำท่วมปลายปีที่ผ่านมา มาโผล่จริงๆ ในงบการเงินในเดือนมี.ค.-เม.ย.ที่ผ่านมา"

กรรมการและที่ปรึกษา บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัท 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 330.8 ล้านบาท เติบโตลดลง 78% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 1,503.6 ล้านบาท ในขณะที่เบี้ยประกันภัยรับใน 9 เดือน อยู่ที่ 9,361 ล้านบาท เติบโต 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

สาเหตุหลักที่มีกำไรลดลง เนื่องจากต้องแบกรับภาระจากน้ำท่วมในปีที่ผ่านมา ซึ่งยังไม่จบ ส่งผลให้บริษัทประสบภาวะการขาดทุนจากการรับประกันภัยถึง 1,980 ล้านบาท ขาดทุนจากการรับประกันภัยเพิ่ม 353% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

เขาระบุว่า ในงวด 9 เดือน บริษัทมีรายได้จากการลงทุน 786 ล้านบาท ลดลง 1.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ถือว่าโชคดีที่มีกำไรจากการขายหลักทรัพย์และสินทรัพย์ถึง 1,673 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 369% ส่งผลให้ 9 เดือน บริษัทยังมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 330 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 4.35 บาท คณะกรรมการบริษัทจึงมีมติให้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลประกอบการของไตรมาส 3 แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 2.75 บาท ในวันที่ 11 ธ.ค.2555

ที่มา : กรุงเทพธุรกิิจ