การประชุมสภาประกันภัยแห่งเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 26 (The East Asian Insurance Congress : EAIC) หรือ 26th EAIC เมื่อ 29 ตุลาคม-2 พฤศจิกายน 2555 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียที่เพิ่งปิดฉากไป เป็นอีกเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้บริหารบริษัทประกันภัยของไทย ได้พบปะพูดคุยกับบริษัทรับประกันภัยต่อ (รีอินชัวเรอส์) หยั่งเสียงถึงสถานการณ์ตลาดประกันภัยไทยในสายตาของต่างประเทศ โดยเฉพาะมุมมองต่อภัยธรรมชาติและภัยพิบัติ เพื่อประเมินแนวโน้มการต่อสัญญาประกันภัยสิ้นปีนี้

“ได้คุยกับรีอินชัวเรอส์ ซึ่งส่วนใหญ่ส่งสัญญาณเป็นบวกกับตลาดบ้านเรา มีแนวโน้มในการต่อสัญญาปีนี้จะลดข้อกำหนดต่างๆ ลงเทียบกับปีก่อน ตอนนี้ผู้รับประกันภัยต่อกลัวเสียตลาดในบ้านเรา ทุกบริษัทมองตลาดเมืองไทยมีแนวโน้มโตดี เขากลัวจะพลาดโอกาสการเติบโตที่ว่านี้ เมื่อรีอินชัวเรอส์มีท่าทีแบบนี้ ขึ้นอยู่กับบริษัทประกันภัยไทยจะต้องไปดูว่า ใช้โอกาสจากตรงนี้อย่างไรขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท ซึ่งจะมาคุยกันต่อในไทย” กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าว

การผ่อนปรนเงื่อนไขของผู้รับประกันภัยต่อ เช่น การขยายความสามารถ หรือวงเงินในการรับประกันภัย (คาปาซิตี้) เพิ่มขึ้น, ค่าตอบแทนจากการประกันภัยต่อที่อาจจะให้เพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเดิมเคยให้วงเงินคุ้มครองภัยทุกประเภท 200 ล้านบาทต่อภัยต่อเหตุการณ์ อาจจะเพิ่มเป็น 300 ล้านบาทก็ได้ เพราะถ้าไม่ผ่อนปรน อาจจะเสียโอกาสในการขยายตลาด การผ่อนคลายของรีอินชัวเรอส์ จะทำให้การต่อสัญญาประกันภัยง่ายขึ้น เบี้ยประกันภัยมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

สำหรับประกันภัยไทยวิวัฒน์ สิ่งที่ต้องการ อยากให้ผู้รับประกันภัยขยายวงเงินคุ้มครองให้มากขึ้น มากกว่าจะให้ลดเบี้ยประกันภัย ซึ่งสัญญาฉบับเดิม ผู้รับประกันภัยต่อให้วงเงินสูงสุด 500 ล้านบาทต่อภัยต่อเหตุการณ์ จะขอขยายเป็น 800 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายตลาดมากขึ้น

ด้านกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทั้งผู้รับประกันภัยต่อและบริษัทประกันภัย หยั่งเชิงซึ่งกันและกันมากกว่า ยังไม่มีการเผยไต๋ออกมาว่า เขาจะให้อะไรกับบริษัทประกันภัย และทางฝั่งไทยอยากจะได้อะไรจากทางเขา

อย่างไรก็ดี ถ้าดูจากในมุมของทิพยฯ อาการของรีอินชัวเรอส์เป็นบวก วัดจากมีบริษัทรับประกันภัยต่อจำนวนมาก มาเจอและขอนัดเจอกับทิพยฯ เป็นสัญญาณดี แสดงว่ามีคนอยากจะเข้ามาสู่ตลาดไทยมากขึ้น โดยทิพยฯ จะเลือกเจอผู้รับประกันภัยต่อ 3 กลุ่มคือ
1. กลุ่มบริษัทที่เป็นคู่สัญญาเดิม ซึ่งเขาให้ความมั่นใจจะทำงานกับทิพยฯ ระยะยาว
2. กลุ่มบริษัทรับประกันภัยต่อที่เคยอยู่ในไทย แต่ถอยออกไปในช่วงน้ำท่วม หรือโค้ดเบี้ยประกันภภัยแพงแล้วไม่ค่อยได้งาน กลับเข้ามารื้อฟื้นความหลังใหม่ และ
3. กลุ่มที่ไม่เคยเข้ามาทำตลาดในไทย แต่มีความแข็งแกร่ง และเห็นโอกาสเข้ามาเสนอตัว ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นผู้ตามในตลาดไม่ใช่กลุ่มผู้นำ

“อัตราเบี้ยประกันภัยในปีนี้ถือว่าดี ความเสียหายไม่ค่อยมี ทำให้ทุกคนจะกลับมา แต่ยังไม่เผยไต๋ออกมาว่าจะเสนออะไรให้บ้าง ประเมินจาก 3 กลุ่มนี้ เชื่อว่าการต่อสัญญาปีนี้ดีกว่าปีที่ผ่านมา ไม่ได้หมายความว่าการแข่งขันกลับมาเหมือนเดิม เบี้ยประกันภัยยังสูงกว่าช่วงก่อนเกิดน้ำท่วม แต่ไม่แพงมากเหมือนปีที่แล้ว การมีรีอินชัวเรอส์เข้ามามากทำให้เรามีตัวเลือกเยอะขึ้น ต้นทุนของเราอาจจะถูกลง เบี้ยปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากอีเอไอซี ทางรีอินชัวเรอส์จะเริ่มเดินสายมาเยี่ยมบริษัทประกันภัยเพื่อเริ่มคุยกัน”

อีกหนึ่งบิ๊กวงการ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า ประเมินรวมๆ ปีนี้ผลประกอบการในสัญญาประกันภัยต่อดี คาดหวังในการต่อสัญญา ทางผู้รับประกันภัยต่อควรจะผ่อนคลาย แต่รีอินชัวเรอส์ในสิงคโปร์ยังคงสงวนท่าทีอยู่ ยังไม่ตอบรับชัดเจน หลังจากนี้ผู้รับประกันภัยต่อจะมาไทย จะเริ่มคุยกันเป็นรายบริษัท คาดว่าประมาณปลายเดือนนี้จะเห็นความชัดเจนมากขึ้น

“ท่าทีของรีอินชัวเรอส์ควรจะเป็นบวก แต่อยู่ที่ว่าการยอมรับเงื่อนไขมากน้อยแค่ไหน ยังไม่คุยกันเหมือนลองเชิงกันอยู่ ถ้าดูจากผลประกอบการปีนี้เขาแฮปปี้ แต่ปีที่แล้วเขาก็เจ็บตัวมาก ขาดทุนเป็นร้อยๆ ปีกว่าจะเก็บเบี้ยมาชดเชยได้ ซึ่งน้ำท่วมปีก่อนจนถึงตอนนี้ยังจ่ายสินไหมทดแทนกันไม่จบ เขาก็คงจะคุยกันเพื่อให้เป็นทิศทางเดียวกัน จะมีปัจจัยว่าถ้าผู้รับประกันภัยต่อเข้มงวดเงื่อนไขเดิมมากเกินไป บริษัทประกันภัยจะใช้วิธีเก็บความเสี่ยงภัยไว้เองมากขึ้น บริษัทประกันภัยอยากให้เปลี่ยนเงื่อนไข ของเดิมไม่คุ้มต้นทุน อย่างค่าตอบแทนจากการประกันภัยต่อที่ได้น้อยลง ไม่คุ้มกับจ่ายตัวแทน เป็นอีกเรื่องที่บริษัทประกันภัยคาดหวังจะได้ ขณะที่รีอินชัวเรอส์อยากคงเงื่อนไขเดิม ก็ต้องมาคุยกัน”

อนึ่ง บรรดาผู้บริหารในวงการมีความเห็นสอดคล้องกันว่า สัญญาประกันภัยต่อปีนี้จะผ่อนคลายมากขึ้น บริษัทประกันภัยสามารถต่อรองราคาเบี้ยประกันภัย และเงื่อนไขต่างๆ ได้มากขึ้น โอกาสที่เบี้ยประกันภัยจะลดลงมีสูง

ที่มา : สยามธุรกิจ