กรรมการผู้จัดการบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด เปิดเผยว่า แม้ผู้ถือหุ้นคือบริษัทประกันวินาศภัย ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมปีที่ผ่านมาก็ตาม แต่ไม่น่าจะส่งผลกระทบมาถึงการจ่ายเงินสมทบให้กับบริษัทกลางฯ ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นยังจ่ายเงินสมทบให้กับบริษัทกลางฯ ได้ตามกรอบที่กฎหมายกำหนด 12.25% ของเบี้ยประกันภัยพ.ร.บ.คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งอัตราเงินสมทบถูกปรับเพิ่มขึ้น เมื่อปี 2553 จากเดิมจัดเก็บ 2.25% หลังจากบริษัทกลางฯ เข้าไปรับประกันภัยรถจักรยานยนต์แทนบริษัทประกันวินาศภัย

“การจ่ายเงินสมทบยังเป็นปกติ ผู้ถือหุ้นเข้าใจภารกิจของบริษัทกลางฯ น้ำท่วมเป็นปัญหา ซึ่งแต่ละบริษัทกำลังตรวจสอบลูกค้าอยู่ในกลไก การเคลียร์ค่าเสียหาย ซึ่งการส่งเงินสมทบให้กับบริษัทกลางฯจะเป็นไปตามสัดส่วนของประกัน พ.ร.บ.ประเภทอื่นถ้าขายเยอะต้องจ่ายเงินสมทบเยอะ”

สำหรับปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายจำนวนรถจักรยานยนต์ ทำประกันภัยภาคบังคับหรือพ.ร.บ. กับบริษัท 13.5 ล้านคัน หรือเกือบ 100% ของทั้งระบบ คิดเป็นเบี้ยประกันภัยประมาณ 4,000 ล้านบาท เทียบกับปี 2554 มีรถจักรยานยนต์ทำประกันพ.ร.บ. 12.3 ล้านคัน เบี้ยประกันภัยเกือบ 3,700 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้น และจะผลักดันรถหนีภาษีและไม่ทำประกันภัย พ.ร.บ.ให้มาทำประกันภัย ทั้งขอความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงตั้งทีมลงพื้นที่ชนบทเพื่อให้ความรู้เรื่องประกันภัย

ส่วนค่าสินไหมทดแทนในปีนี้ คาดไว้ประมาณ 3,600 ล้านบาท เผื่อไว้สำหรับค่ารักษาพยาบาลที่จะปรับเพิ่มขึ้นด้วย หรือคิดเป็นอัตราสินไหมทดแทน (Loss Ratio) 92% ลดลงจากปี 2554 ที่อยู่ระดับ 94.79% เนื่องจากโครงการรณรงค์ลดอุบัติเหตุ บนท้องถนนที่ทำอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ในรอบ 8 เดือนที่ผ่านมา มีรถจักรยานยนต์ทำประกันภัยภาคบังคับกับบริษัท 9 ล้านคัน คิดเป็นเบี้ยประกันภัยประมาณ 2,600-2,700 ล้านบาท ค่าสินไหมทดแทน 2,200 ล้านบาท Loss Ratio 92% จากผู้มาใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมของประกันภัย พ.ร.บ. 160,000 ราย เฉลี่ย 20,000 รายต่อเดือน

กล่าวว่า บริษัทได้จัดทำเว็บไซต์ขึ้น เพื่อเป็นศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุทางถนน โดยจัดทำเป็นเว็บไซต์สาธารณะ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ นำไปใช้ในการวิเคราะห์สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ โดยเว็บไซต์ดังกล่าวประกอบด้วยข้อมูลรับแจ้งอุบัติเหตุทางถนน มีการรายงานข้อมูลผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต แบบเรียลไทม์รายวัน, มีแผนที่จุดเสี่ยงภัย ระบุถนนทางแยก หรือจุดเสี่ยงใดที่มีการเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง พร้อมวิเคราะห์อุบัติเหตุมาจากสาเหตุใด ยิ่งกว่านั้นยังได้จัดทำคู่มือเพื่อความปลอดภัยทางถนนขึ้น เพื่อส่งเสริมให้พนักงานทุกคนในบริษัทกลางฯ ยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการสนองนโยบายรัฐบาล เรื่อง “ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนนปี 2554-2563” ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ให้ความสำคัญที่จะให้ประเทศสมาชิก ร่วมกันลดอุบัติเหตุบนท้องถนนลงให้ได้ 50% จากปัจจุบันที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจากการจราจรบนท้องถนนสูงถึง 1.3 ล้านคนต่อปี และบาดเจ็บสูงถึง 50 ล้านคนต่อปี อัตราการเสียชีวิตสูงกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2

สำหรับสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนในประเทศไทย พบว่ามีการเสียชีวิตชั่วโมงละ 2 คน บาดเจ็บนาทีละ 1 คน หรือกว่า 5 แสนรายต่อปี สูงที่สุดอันดับ 1 ในเอเชีย โดยรัฐบาลมีเป้าหมายภายในปี 2563 ลดผู้เสียชีวิตให้ต่ำกว่า 10 คนต่อประชากรแสนคน

ที่มา : สยามธุรกิจ