โดย สยามธุรกิจ วันที่ 10 กันยายน 2554 เวลา 00:00 น.

แผนการขยายธุรกิจในปีหน้าสำหรับบริษัท ไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า เน้นขยายประกันภัยรถยนต์ต่อเนื่องจากปีนี้ โดยปีหน้าตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรถยนต์เติบโตไม่น้อยกว่า 25% เทียบกับปีนี้ ที่ตั้งเป้าหมายไว้ 1,200-1,400 ล้านบาท หรือเติบโตเกือบ 20%

จะขยายรถซ่อมห้างมากขึ้นเพิ่มสัดส่วนจาก 10% เป็น 20% จะขยายความสัมพันธ์กับทางดีลเลอร์มากขึ้น หลังจากปีนี้ปรับระบบงานภายในส่วน Back Office เสร็จแล้ว รวมถึงพัฒนาอู่ในโครงการอู่อุ่นใจ ที่หันมาเน้นอู่ทั่วไปดึงมาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ (Partner) รองรับไว้ส่วนหนึ่งด้วย

“จริงๆ เราจะศึกษาตลาดรถป้ายแดง (รถใหม่) จริงจังมากขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ลดพอร์ตรถกลุ่มนี้ลงไปเยอะมาก จากแต่ก่อน 50-60% เหลือแค่ 5% เพราะขาดทุน จะเริ่มกลับมาขยายใหม่ปีหน้า จะเพิ่มเป็น 10% แต่การขยายป้ายแดงไม่ใช่เพิ่มได้ง่ายๆ เพราะบริษัทประกันภัยทำเยอะ ถ้าจะทำต้องเริ่มกับลูกค้าที่ซื้อสดก่อน ดังนั้นเราจะเริ่มขยายจากรถซ่อมห้างก่อน อาจจะเป็นรถป้ายแดงที่ไม่แถมประกันภัย หรือรถปี 2 หรือปี 3 ที่ลูกค้าอยากจะซ่อมห้าง หรือมีโอกาสเลือกซ่อมเอง เมื่อเราเริ่มมีความสัมพันธ์กับดีลเลอร์ เราจะเริ่มขยายไปป้ายแดงจริงจัง การทำประกันภัยของรถป้ายแดงมี 3 ประเภท คือแถมมาจากโรงงาน ดีลเลอร์แถมเอง และลูกค้าซื้อเอง”

สำหรับผลประกอบการในรอบ 8 เดือนปีนี้ บริษัทมีเบี้ยรับรวมประมาณ 2,500 ล้านบาท เติบโต 16-17% โดย 70% เป็นยอดขายผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ (Bancassurance) ซึ่งช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์เติบโตมากกว่า 30% เนื่องจากธนาคารสนับสนุนการขายประกันภัยมาก โดยเฉพาะประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) และประกันรถยนต์ ซึ่งในยอดขายทั้งหมดของธนาคารแบ่งเป็นพีเอ 60% ประกันรถยนต์ 30% อีก 10% ที่เหลือเป็นงานลูกค้ารายใหญ่ (Commercial Line)

สำหรับช่องทางจำหน่ายอื่นๆ ที่ไม่ใช่ธนาคารไทยพาณิชย์ (Non SCB) ที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือประกันภัยรถยนต์ และงานลูกค้ารายใหญ่ผ่านโบรกเกอร์ ฝั่ง ลูกค้ารายใหญ่เติบโตได้ไม่ค่อยดีเนื่อง จากบริษัทคัดเลือกงานมากขึ้น ขณะที่ประกันภัยรถยนต์ในช่วง 8 เดือนทั้งบริษัทมีเบี้ย 800 ล้านบาทเท่ากับช่วง เดียว กันของปีก่อนแต่มีกำไรมากกว่าเนื่อง จากอัตราสินไหมทดแทน (Loss Ratio) ลดลงทำให้อัตรารวม (Combine Ratio) อยู่ที่ 87% จากเดิมเกิน 100%

“นโยบายของบริษัทแม่เน้นทำกำไรจากธุรกิจมากกว่ามุ่งขยายธุรกิจเยอะๆ ดังนั้นการรับประกันภัยต้องมีกำไร อย่างรถยนต์มีกำไรเพิ่มขึ้นแสดงว่า ที่เราแก้มา 3 ปีได้ผล ซึ่งเกณฑ์ RBC หรือการดำรงเงิน กองทุนตามระดับความเสี่ยง (Risk Based Capital : RBC) ที่จะเริ่มใช้วันที่ 1 กันยายนนี้ การทำธุรกิจของบริษัทประกันภัยจะเปลี่ยนไป จะทำแบบสมัยก่อนไม่ได้แล้ว คือหาเบี้ยมาเยอะๆ การรับประกันไม่ต้องมีกำไรก็ได้ เอากำไรจากการลงทุนมาหนุน แต่ RBC ต้องการเงินกองทุนเยอะขึ้นกว่า เดิมจะเห็นหลายบริษัทลดพอร์ตลง เพราะถ้าธุรกิจหลักขาดทุนกำไรลดลง จากนี้ไปทุกคนต้องหันมาทำกำไรจากการรับประกันมากขึ้น ทำให้ความรุนแรงของการแข่งขันด้านราคาลดลง หันมาแข่งบริการได้”

“ผู้ถือหุ้นต้องการให้ริสก์ต่ำและโฟกัสธุรกิจจริงๆ อดีตเรามีกำไรจากการลงทุน 40-50% ของกำไรทั้งหมด ทำให้ธุรกิจหลัก คือการรับประกันภัยไม่ได้โฟกัสเท่าที่ควร แต่ตอนนี้เราปรับใหม่ หันมาโฟกัสการรับประกันภัยมากขึ้น ทำให้กำไรจากการรับประกันภัยเพิ่มขึ้น กำไรจากการลงทุนลดลงแหลือ 20-30% หลายบริษัทเดินไปเทรนด์นี้ ต้องทำกำไรจากการรับประกันภัยมากขึ้น ต้องมีการบริหารความเสี่ยงมากกว่าเก่า”

สำหรับเงินกองทุนถ้าวัดตามเกณฑ์ RBC บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนอยู่ที่ 780% ขณะที่ระดับที่คปภ.ต้องการคือ 125% บริษัทขอบอร์ดไว้ 350% ขณะที่ระดับเงินกองทุนที่เหมาะสมสำหรับบริษัทในอนาคต 450% ซึ่งหากจำเป็นต้องเพิ่มทุน ทางธนาคารไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนให้ เพราะบริษัทสามารถเอากำไรมาเพิ่มทุนได้ ด้วยการลดจ่ายเงินปันผลลง หรือจ่ายปันผลเป็นหุ้นแทนวิธีการเก็บรักษาทุน

ที่มา : สยามธุรกิจ