โดย สยามธุรกิจ วันที่ 24 สิงหาคม 2554 เวลา 00:00 น.
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลชุดก่อน มีคำสั่งปิดกิจการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจไปเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2553 ทางผู้บริหารบริษัทไม่ยอมแพ้ โดยคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) ชุดก่อนถูกสั่งปิด ได้ยื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อเอาผิด กับคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (บอร์ดคปภ.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในคดีคำสั่งปิดไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงยื่นคำฟ้องขอทุเลาระหว่างศาลปกครองพิจารณาคำฟ้องข้างต้น ให้กรรมการชุดเดิมกลับมาเป็นกรรมการหรือบริหารงานในบริษัทได้เหมือนเดิม โดยคำฟ้องขอทุเลาศาลมีคำพิพากษายกฟ้องไปแล้ว ขณะที่คดีแรกยังอยู่ระหว่างพิจารณา
ขณะที่ภาครัฐโดยผู้ชำระบัญชีบริษัทเอ.พี.เอฟ. เตรียมตอบโต้กลับจะยื่นฟ้องดำเนินคดีทางแพ่ง กับผู้บริหารที่ยักยอกเงินของบริษัทไปนั้น ล่าสุดผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย กล่าวว่า ได้รับทราบข้อมูลจากทางผู้ชำระบัญชีว่า ได้ยื่นฟ้องดำเนินคดีทางแพ่งกรรมการชุดเก่าบริษัทเอ.พี.เอฟ. และธนาคารกรุงศรีอยุธยาสำนักงานใหญ่ ที่รับฝากตั๋วเงินบริษัทเอ.พี. เอฟ. มูลค่าประมาณ 256 ล้านบาทแล้ว ในคดีละเมิดเอาตั๋วเงินดังกล่าว ไปคืนบริษัท เอ.พี.เอฟ. โฮลดิ้งส์ในเครือบริษัท เอ.พี.เอฟ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทำให้บริษัทเสียหาย ซึ่งศาลแพ่งรับคำฟ้องและเตรียมส่งหมายเรีย กและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้ง 2 รายแล้วเช่นกัน
ทั้งนี้จากหลักฐานที่ผู้ชำระบัญชีรวบรวมได้ตั๋วเงินมูลค่าประมาณ 256 ล้านบาท ที่เป็นทรัพย์สินของบริษัทถูกยักยอกออกไปตั้งนานแล้ว โดยผู้บริหารของบริษัททุจริต กล่าวคือในช่วงที่มีการทำข้อตกลงซื้อขายบริษัทเอ.พี.เอฟ. อินเตอร์เนชั่นแนล อินชัวรันส์ มูลค่า 278 ล้านบาทระหว่างบริษัทเอ.พี.เอฟ.อินเตอร์เนชั่นแนล ในญี่ปุ่นและกลุ่มทุนใหม่เมื่อราวกลางปีก่อน ปรากฏว่ามีการจ่ายเงินจริงแค่ 22 ล้านบาท อีก 256 ล้านบาทที่เหลือ ทางทุนใหม่กลับออกเป็นตั๋วเงินคืนไปให้ทางเอ.พี.เอฟ.อินเตอร์เนชั่นแนล เท่ากับเบียดบังทรัพย์สินของบริษัทโดยมิชอบ เพราะตั๋วเงินดังกล่าวถือเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของบริษัท
นอกจากเอ.พี.เอฟ.แล้ว ทางผู้ชำระบัญชีอาจจะยื่นฟ้องแพ่งผู้บริหาร บริษัท วิคเตอรี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด ที่ถูกปิดกิจการไปเมื่อไม่นานมานี้ด้วย หลังจากผู้ชำระบัญชีเข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินเบื้องต้นแล้ว พบหลักฐานความไม่ชอบมาพากลของผู้บริหารชุดเก่าอาจจะโกงบริษัท ขณะที่กรณีบริษัท ลิเบอร์ตี้ประกันภัย จำกัด ที่ถูกปิดกิจการไปพร้อมกับบริษัทวิคเตอรีทางผู้ชำระบัญชี จะไม่ยื่นล้มละลายเนื่องจากบริษัทมีทรัพย์สินเหนือหนี้สิน จากการตรวจสอบทรัพย์สินหลักคือ อาคารที่ทำการบริษัทตามราคาประเมิน 600 ล้านบาท แต่คาดว่าน่าจะขายได้ประมาณ 300 ล้านบาท
หลังจากหมดเขตที่คปภ.เปิดให้เจ้าหนี้บริษัทวิคเตอรี และบริษัทลิเบอร์ตี้มายื่นขอรับชำระหนี้ต่อผู้ชำระบัญชีและกองทุนประกันวินาศภัย ภายในวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่าในส่วนกองทุนประกันวินาศภัยที่ดูแลแค่เจ้าหนี้ผู้เอาประกันภัย เฉพาะข้อมูลจากส่วนกลางไม่รวมสำนักงานคปภ.เขต และต่างจังหวัดที่ยังทยอยส่งเข้ามา มีเจ้าหนี้บริษัทลิเบอร์ตี้มายื่นขอรับชำระหนี้ทั้งหมด 282 ราย มูลค่าหนี้ประมาณ 270 ล้านบาท เป็นหนี้ที่กองทุนจะต้องชดใช้ประมาณ 100 ล้านบาท เนื่องจากตามกฎหมายกำหนดให้กองทุนชดใช้หนี้ให้กับผู้เอาประกันภัยรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ที่เหลือวงเงินเกิน 1 ล้านบาทที่มีอยู่ 30 ราย ส่วนเจ้าหนี้บริษัทวิคเตอรีมีเจ้าหนี้มายื่นขอรับชำระหนี้ 463 ราย มูลหนี้ประมาณ 148 ล้านบาท เป็นหนี้ที่กองทุนต้องชดใช้ประมาณ 30 ล้านบาท อีก 118 ล้านบาทวงเงินเกิน 1 ล้านบาท
ที่มา : สยามธุรกิจ