ทูเดย์อินชัวร์ จำหน่าย ประกันภัยรถยนต์ ราคาถูก
สำหรับสมาชิก todayinsure.com ระบบงาน TodayInsure C.R.M. หมายเลขใบอนุญาตของ TodayInsure: 5104006215
ขณะนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัตหน้าที่อยู่ โทรหาเรา (02) 952-7322, (086)378-9671 หรือ email: sales@todayinsure.com

คลังข้อมูลข่าวย้อนหลัง

กรุงเทพประกันภัย หวังรัฐบาลสิ้นปีโตเกินเป้า 4%

ช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวประมาณ 4.5% อยู่ประมาณ 3.5% ส่งผลดีมาถึงธุรกิจประกันภัย โดยเฉพาะประกันภัยรถยนต์รับอานิสงส์จากอุตสาหกรรมรถยนต์

กรุงเทพประกันภัย หวังรัฐบาลสิ้นปีโตเกินเป้า 4%

สิงหาคม
22

โดย สยามธุรกิจ วันที่ 20 สิงหาคม 2554 เวลา 00:00 น.

กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตามที่บริษัท ตั้งเป้าหมายปีนี้เบี้ยประกันภัยจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4% เชื่อว่าถึงสิ้นปีน่า จะทำได้เกินเป้าหมายเล็กน้อยหลังจากในช่วง 6 เดือนแรก มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 5,397 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 8.6% สูงกว่าเป้าหมาย โดยตัวแปรสำคัญอยู่ที่ไตรมาสสี่ เนื่องจากปีที่ผ่านมามีเบี้ยประกันภัยก้อนใหญ่ จากการบินไทยบันทึกเข้ามาจำนวนมากเป็นฐานที่ค่อนข้างสูง การจะทำให้ถึงฐานระดับนี้อาจจะลำบาก ขณะที่ไตรมาส สามยังเชื่อว่าจะเติบโตได้สูงกว่า 4%

ปัจจัยบวกมาจากการขยายตัวของเศรษฐกิจ ที่คาดการณ์ในช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวประมาณ 4.5% อยู่ประมาณ 3.5% และทั้งปีอยู่ที่ระดับ 4.1% ส่งผลดีมาถึงธุรกิจประกันภัย โดยเฉพาะประกันภัยรถยนต์ ที่จะได้รับอานิสงส์จากอุตสาหกรรมรถยนต์ที่จะเร่งยอดการผลิตรถใหม่เพื่อส่งมอบ กอปรกับอุตสาหกรรมรถยนต์ในญี่ปุ่นเริ่มฟื้นตัว จะทำให้มีรถใหม่ออกมาในตลาดมากขึ้น คาดว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ในไทยปีนี้จะอยู่ที่ 900,000 คัน หากเป็นรถใหม่ทั้งหมดแล้วมีการทำประกันภัยรถยนต์ชั้น1 เบี้ยเฉลี่ย 14,000-15,000 บาทต่อ คันคิดเป็นเบี้ยประมาณ 11,000 ล้านบาท เป็นเบี้ยใหม่ที่ธุรกิจประกันภัยจะได้เพิ่มขึ้นมาในปีนี้ ยิ่งกว่านั้นยังมีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาลใหม่ ที่สัญญากับประชาชนไว้หลายเรื่องอาทิ การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท การเพิ่มเงินเดือนปริญญาตรีขั้นต่ำ จะกระตุ้นการบริโภค อุปโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น รวมไปถึงโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ทั้งรถไฟระบบราง รถไฟฟ้าสีต่างๆ ที่รัฐบาลใหม่จะสานต่อคาดว่าจะเปิดประมูลเพิ่มอีก 1-2 สาย จะทำให้มีเบี้ยก้อนใหม่เข้ามายังธุรกิจประกันภัยมากขึ้น

สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง ยังคงเน้นกลยุทธ์เดิมที่ทำมาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา มุ่งรักษาฐานลูกค้าเดิมโดยจะมีสินค้าใหม่ๆ ออกมาตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทั้งตรงกับไลฟ์สไตล์ ราคาเบี้ยประกันภัย และความคุ้มครองเหมาะสม มีช่องทางจำหน่ายที่เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น อย่างคนรุ่นใหม่ เช่น จุดบริการ BKI Care Station ที่เปิดขึ้นในห้างสรรพสินค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ได้ขยายเพิ่มเป็น 23 แห่งภายในปีนี้ โดยหลายแห่งเริ่มถึงจุดคุ้มทุนแล้ว

ยิ่งกว่านั้น จะขยายช่องทางผ่านธนาคาร (Bancassurance) และขายผ่านโทรศัพท์ (Telemarketing) มากขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้ารายย่อยซึ่งเป็นลูกค้า กลุ่มเป้าหมายที่บริษัทเน้นมากในระยะหลัง ซึ่งตามแผนการขยายธุรกิจภายใน 3 ปีหรือปี 2557 ตั้งเป้าหมายสัดส่วนเบี้ยประกันภัยลูกค้ารายย่อยเพิ่มเป็น 25% ของเบี้ยรวม จากปัจจุบันอยู่ที่ 17-18% ของเบี้ยรวม 6 เดือนแรก เบี้ยประกันภัยลูกค้ารายย่อยเติบโตถึง 200% แยกเป็นแบงก์แอสชัวรันส์ครึ่งปีทำได้ 57% จากเป้าปีนี้ 400 ล้านบาท ขณะที่เทเลมาร์เก็ตติ้งทำได้ 47% หรือเบี้ย 705 ล้านบาทจากเป้าหมาย ทั้งปี 1,500 ล้านบาท หลุดเป้านิดหน่อย คาด ว่าเทเลมาร์เก็ตติ้งปีนี้คงเติบโต 23% ไม่ถึงเป้าเพราะตลาดมีข้อจำกัดเยอะ

แม้อัตราค่าสินไหมทดแทน (Loss Ratio) ประกันภัยรถยนต์จะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก อยู่ที่ 57.9% เพิ่มขึ้น 5% เทียบกับปีก่อนเนื่องจาก 2 ปัจจัย คือ ค่าแรง ค่าอะไหล่เพิ่มขึ้น จากเงินเฟ้อทำให้สินไหมทดแทนประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ เพิ่มขึ้นและการเพิ่มความคุ้มครองประกันภัยพ.ร.บ. เมื่อต้นปี 2553 ทำ ให้ Loss Ratio ประกันพ.ร.บ.สูงขึ้นพอกับอุตสาหกรรม โดยขยับมาอยู่ที่ประมาณ 50% จากเดิม 30% ต้นๆ แต่บริษัทยังไม่ปรับเบี้ยประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจเพิ่มขึ้น เพราะจะเป็นการผลักภาระไปให้กับผู้บริโภค อีกทั้งในช่วงครึ่งปีหลังเบี้ยประกันภัยรถยนต์จะทะลักเข้ามามากขึ้น หลังจากถูกอั้นมานาน โดยสินไหมระดับนี้บริษัทยังสามารถรับได้อยู่ แต่หากขยับไปถึง 60% เมื่อไหร่ต้องขึ้นเบี้ย โดยคาดว่าสิ้นปีนี้สินไหมยังขึ้นไม่ถึง 60% ขณะที่ประกันพ.ร.บ.บริษัทแก้ปัญหาด้วยการขายพ่วงเป็นแพ็กเกจไปกับภาคสมัครใจ ทำให้ลูกค้าสะดวกเวลามีเคลมสามารถใช้บริการได้ที่บริษัทเดียว แต่หากลูกค้าจะซื้อ พ.ร.บ.อย่างเดียวสามารถทำได้โดย บริษัทใช้วิธีลดค่าใช้จ่ายด้านการตลาดลง

ด้านประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารบริษัท กรุงเทพประกันภัย กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังว่า ไม่น่าจะดีเหมือนครึ่งปีแรก ที่มีรายได้สุทธิจากการลงทุน 497.9 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 6.9% เป็นผลกระทบมาจากต่างประเทศที่เจอวิกฤติหนี้สาธารณะทั้งสหรัฐฯ และหลายประเทศ ในยุโรป เช่น กรีซ เยอรมนี ฝรั่งเศส ลาม ไปถึงสเปน อิตาลี และประเทศเหล่านี้กำลังลดงบประมาณ ลดค่าใช้จ่ายอยู่ จะส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจในประเทศเหล่านี้ชะลอตัว และส่งผลกระทบมาถึงเศรษฐกิจไทยตลาดหุ้นจะตกลงด้วย

ที่มา : สยามธุรกิจ