โดย สยามธุรกิจ วันที่ 8 สิงหาคม 2554 เวลา 00:00 น.

เกือบ 20 ปีที่ประกันภัยรถตามพ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ หรือประกันภัยรถภาคบังคับเป็น “ขุมทรัพย์” ของธุรกิจประกันวินาศภัย เพราะนอกจากเป็นประกันภัยเพียงประเภทเดียว ที่กฎหมายกำหนดให้เจ้าของรถทุกคัน ต้องทำประกันภัยคุ้มครองบุคคลภายนอก เบี้ยประกันไม่แพง แล้วยังมีอัตราเติบโตดีต่อเนื่อง จนเบี้ยประกันทะลุหลัก 10,000 ล้านบาท ที่สำคัญอัตราสินไหมทดแทน (Loss Ratio) ไม่สูงมากเฉลี่ยประมาณ 35-40% ในแต่ละปีประกันพ.ร.บ.มีส่วนต่างกำไรระดับ 3,000 กว่าล้านบาท

สถานการณ์ของตลาดประกันภัยพ.ร.บ.ในปัจจุบัน ไม่เหมือนอดีตแล้ว “กำไรถดถอยลง” อย่างมาก บางบริษัทถึงขั้น “ขาดทุน” เพราะหลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ปรับเพิ่มความคุ้มครองให้แก่ผู้ประสบภัยจากรถกว่าเท่าตัว เมื่อ 1 มกราคม 2553 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเพิ่มความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต ทุพพลภาพถาวรจาก 100,000 บาท เป็น 200,000 บาท และเงินชดเชยรายวันรักษาตัวในโรงพยาบาลอีกวันละ 200 บาท/คน สูงสุดไม่เกิน 20 วัน ซึ่งตัวหลังไม่เคยมีมาก่อนทำให้ค่าสินไหมทดแทนขยับขึ้นมาก

จากข้อมูลสำนักงานคปภ. ณ สิ้นปี 2553 อัตราค่าสินไหมทดแทนประกัน พ.ร.บ. เพิ่มเป็น 60.21% เทียบกับปี 2552 อยู่ที่ 40.50% หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 20% ขณะที่ในช่วง 5 เดือนปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.) อยู่ที่ 57.55% โดยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัย กล่าวว่า ตัวเลขนี้เป็นไปตามที่คาดไว้ ตอนที่สมาคมร่วมกับคปภ.ทำความคุ้มครองใหม่ ได้มีการคำนวณทางคณิตศาสตร์ประกันภัย ค่าสินไหมทดแทนประกันพ.ร.บ.ทั้งระบบจะเพิ่มเป็น 60% อัตรารวม (คอมไบน์ เรโช) อยู่ที่ 95% เท่ากับธุรกิจยังมีกำไร 5%

หากบวกต้นทุนจากเงินสมทบนี้เข้าไป ประกันภัย พ.ร.บ.ยังไม่ขาดทุน แต่อยู่ที่การบริหารจัดการต้นทุนของแต่ละบริษัท หากบริษัทไหนขาดทุนจากการรับประกันภัยพ.ร.บ. ก็สามารถลดการรับประกันลงได้ หรือลดการจ่ายค่าคอมมิสชั่นลงอีก เพราะทางทฤษฎี Loss Ratio ประกันพ.ร.บ.ในปีนี้มีแนวโน้มจะขยับขึ้นไปถึง 65% เนื่องจากยังไม่ครบงวดการใช้สิทธิ์ ซึ่งปกติจะมีเวลาการใช้สิทธิ์ 2 ปีครึ่ง กล่าวคือหลังกรมธรรม์หมดอายุไป 1 ปี จะมีการทยอยใช้สิทธิ์ไปอีกปีครึ่งที่ล่าช้า เพราะมีผู้ใช้สิทธิ์โรงพยาบาลยังไม่แล้วเสร็จ หรือมีฟ้องร้องรวมถึงประชาชนใช้สิทธิ์มากขึ้น ซึ่งหากขยับไปถึง 65% คอมไบน์ เรโชเท่ากับ 100% เท่าทุน แต่ถ้าสูงกว่านั้นก็ขาดทุน ตรงนี้ขึ้นอยู่กับต้นทุนค่าคอม มิสชั่นและค่าบริหารจัดการในองค์กรด้วย เชื่อว่าบริษัทต่างๆ คงไม่ทิ้งหรือเลิกขายประกันพ.ร.บ. อาจจะลดการประกันลง เพราะประกันพ.ร.บ.ยังทำกำไรได้อยู่ แต่ไม่มากเหมือนแต่ก่อนเท่านั้น ซึ่งการลดน่าจะมาจากการแข่งขันทางการตลาดมากกว่า เพราะประกันพ.ร.บ.ยังโตได้อยู่

“จากการวิเคราะห์ของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยของเรา ก็บอกมาตั้งแต่ต้นว่าประกันพ.ร.บ.ต้องขาดทุนแน่ๆ หากไม่มีการปรับและเงินสมทบที่ต้องอุดหนุนบริษัทกลางนั้น หากจะให้พอเพียงต้องอยู่ในอัตราถึง 17% แต่ในตอนนั้นไม่มีใครเชื่อถึงตอนนี้ก็เริ่มเห็นผล ดังนั้นแต่ละบริษัทควรต้องควบคุมค่าใช้จ่ายตัวเอง หรือไม่ก็ปรับลดคอมมิสชั่นลงไม่ให้กระทบ”

ปีที่ผ่านมาหลายบริษัทมีเบี้ยประกันภัยพ.ร.บ.ลดลงมาก ส่วนหนึ่งเพราะชะลอขยายตลาด หากบุกมากกว่านี้อาจจะเจ๊งได้เพราะต้นทุนสินไหมทดแทนเพิ่มขึ้นมาก โดยเบี้ยที่ลดลงอาจจะมาจากการลดค่าคอมมิสชั่น ทำให้งานไหลไปอยู่ที่บริษัทอื่นที่ยังจ่ายค่าคอมมิสชั่นสูงแทน โดยบริษัทที่มีเบี้ยพ.ร.บ.ลดลง อาทิ วิริยะเบี้ยลดลง 23%, ทิพยลดลง 57%, นำสินลดลง 28%, สหมงคลลดลง 11%, เมืองไทยลดลง 30%, อาคเนย์ลดลง 10%, แอลเอ็มจีลดลง 6% ส่วนบริษัทที่เบี้ยพ.ร.บ.เพิ่มขึ้นมากอย่างบริษัทกลางเพิ่มขึ้น 138% เพราะรับประกันรถจักรยานยนต์แทนบริษัทสมาชิก, บางกอกสหเพิ่มขึ้น 190%, ธนชาตเพิ่มขึ้น 46%, เทเวศเพิ่มขึ้น 97%, ส่งเสริมเพิ่มขึ้น 16% เป็นต้น

“ถามว่าสินไหม 60% มีกำไรมั๊ย อยู่ที่ค่าใช้จ่ายตัวอื่นอย่างค่าคอมมิสชั่น ค่าเฉลี่ยในตลาดตอนนี้อยู่ประมาณ 20-25% จากแต่ก่อน 40% บางที่ให้ 50% เดิมจ่ายคอมมิสชั่นสูง เบี้ยถูกเพราะอยากได้เบี้ย ซื้อมาร์เก็ตแชร์ ถ้าตอนนี้สมมติคิดคอมมิสชั่น 20% ค่าใช้จ่ายบริหารจัดการ 17-18% เท่ากับ 97-98% จากเดิม 80% เอากำไรพ.ร.บ.ไปชดเชยจาดทุนจากภาคสมัครใจได้แต่เดี๋ยวนี้ทำไม่ได้ ความน่าสนใจของประกันพ.ร.บ.ลดลงแต่ยังต้องรับประกันต่อไป ถึงเวลาให้เบี้ยและเคลมสมเหตุสมผล ค่าคอมมิสชั่นมีบ้างแต่ต้องสมเหตุสมผลเช่นกัน”

ที่มา : สยามธุรกิจ