โดย สยามธุรกิจ วันที่ 11 พฤษภาคม 2554 เวลา 00:00 น.
โครงการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรหรือประกันภัยข้าว ที่รัฐบาลให้ความสำคัญมากถึงกับจัดทำเป็นยุทธศาสตร์แห่งชาติ รายละเอียดของโครงการเบื้องต้นกำหนดเบี้ยประกันภัยที่ 130 บาทต่อไร่ แบ่งเป็นเกษตรกรจ่ายค่าเบี้ยประกันเอง 60 บาทและรัฐบาลจ่ายให้ 70 บาท ซึ่งเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับค่าสินไหมทดแทนในอัตราไร่ละ 2,000 บาท แบ่งเป็นรัฐบาลจ่ายชดเชยให้ 606 บาทและบริษัทประกันภัย 1,400 บาท ตามเป้าหมายของรัฐบาลต้องการให้ครอบคลุมพื้นที่นาข้าวทั่วประเทศ 57 ล้านไร่ มีภาระเบี้ยประกันภัยรวม 8,039 ล้านบาท
ส่วนความคืบหน้าฝั่งบริษัทประกันภัยที่จะเข้าไปรับประกันภัยในโครงการ ผู้อำนวยการสมาคมประกันวินาศภัยที่มีส่วนร่วมจัดทำโครงการนี้มาตั้งแต่แรกให้ความเห็นว่า แม้อัตราเบี้ยประกันภัย 130 บาทต่อไร่(รวมภาษีอากร) ต่ำกว่าที่รัฐบาลเคยกำหนดคร่าวๆ ไว้ก่อนหน้านี้ 140 บาทต่อไร่ แต่เมื่อทางบริษัท เอออน ซึ่งเป็นบริษัทนายหน้ารับประกันภัยต่อในต่างประเทศได้ศึกษาข้อมูล พร้อมกับนำเสนออัตราเบี้ยประกันภัยดังกล่าวให้บริษัทรับประกันภัยต่อ (รีอินชัวเรอส์) ต่างประเทศที่จะเข้ามารับประกันในโครงการพิจารณาแล้วทางบริษัทรับประกันภัยต่อแจ้งว่าน่าจะอยู่ในวิสัยทัศน์ที่รับได้
อย่างไรก็ดีแม้บริษัทรับประกันภัยต่อจะยอมรับได้แต่มีประเด็นว่าในเบี้ยประกันภัย 130 บาทนี้ ต้องเป็นการประกันภัยของเกษตรกรที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งจากข้อมูลเกษตรกร 60% ของทั้งประเทศเป็น ลูกค้าของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดังนั้นเบื้องต้นทางบริษัทรับประกันภัยต่ออยากให้ ธ.ก.ส.มีมาตรการส่งเสริมให้เกษตรกรทั้ง 60% เอาประกันภัย
หลักการโครงการนี้ ต้องประกาศพื้นที่ภัยพิบัติและเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นรัฐบาลจ่ายก่อน 606 บาท หลังจากนั้นระบบประกันภัยจะทำงาน โครงการนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องมาจากความร่วมมือ ของ 3 ฝ่ายคือ
1. รัฐบาลจัดงบประมาณเหมาะสมมารองรับ กำหนดนิยามภัยพิบัติให้ชัดเจน
2. บริษัทประกันภัยในประเทศต้องพยายามร่วมมือกันสร้างกำลังความสามารถในการรับประกัน ภัยเพื่อจะรับเสี่ยงภัยให้มากที่สุดและ
3. ต้องอาศัยความร่วมมือจากบริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศ ที่จะต้องจัดหาความคุ้มครองในส่วนเกินกำลังความสามารถของบริษัทประกันภัยในประเทศไทย
ที่มา : สยามธุรกิจ