ปี 2555 นอกจากจะเป็นปีที่บริษัท ไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) ล้างขาดทุนจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2554 ได้หมดแล้ว ยังมีกำไรสุทธิถึง 279 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 205% เทียบกับปี 2554 โดยมีเบี้ย ประกันภัย รับรวม 4,275 ล้านบาท เติบโตถึง 26% อยู่อันดับ 11 ของอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยไทย
กรรมการผู้จัดการ แจงว่า กำไรส่วนใหญ่มาจากการรับ ประกันภัย จากนโยบายเน้นตลาดลูกค้ารายย่อย ทั้งประกันอัคคีภัย ประกันภัยรถยนต์ และประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ ซึ่งกระจายความเสี่ยงได้ดี อีกทั้งยังมาจากการลงทุนที่มีผลตอบแทนดี
สำหรับในปีนี้ ตั้งเป้าหมายเบี้ย ประกันภัย รับรวม 5,135 ล้านบาท เติบโต 20% น้อยกว่าปี 2555 เนื่องจากโครงการ รถยนต์ คันแรกหมดลง แบ่งเป็นเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ 1,875 ล้านบาท หรือ 37% เบี้ยประกันภัยอุบัติเหตุ (พีเอ) และสุขภาพ 1,820 ล้านบาท หรือ 35% เบี้ยประกันอัคคีภัย 740 ล้านบาท หรือ 14% เบี้ยประกันภัยสรรพภัย (IAR) 435 ล้านบาท หรือ 9% และเบี้ย ประกันภัย ทางทะเลและขนส่ง (มารีน) 265 ล้านบาท หรือ 5% โดยมีลูกค้าทั้งหมดประมาณ 1.3-1.4 ล้านราย
เบี้ย ประกันภัย ส่วนใหญ่ ยังคงมาจากธนาคารไทยพาณิชย์ ที่เป็นบริษัทแม่และเป็นช่องทางขายหลัก คาดว่าน่าจะมียอดถึง 3,550 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 69% และอีก 1,585 ล้านบาท ที่เหลือมาจากช่องทางที่ไม่ใช่ธนาคารไทยพาณิชย์ (NON-SCB)
กลยุทธ์หลักยังคงเน้นขยายตลาดลูกค้ารายย่อย ซึ่งมีสัดส่วนถึง 85% ของเบี้ย ประกันภัย ทั้งหมด โดยตั้งเป้าหมาย ประกันภัยรถยนต์ พีเอและสุขภาพ เติบโตอย่างละ 25% และอัคคีภัย 10% โดยเฉพาะ ประกันภัยรถยนต์ มองว่ายังมีโอกาสขยายได้อีกมาก เพราะปัจจุบันบริษัทมีเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ คิดเป็นสัดส่วนแค่ 35% ของเบี้ย ประกันภัย ทั้งหมด แม้ปีนี้จะเพิ่มเป็น 37% แต่ยังน้อย เมื่อเทียบกับธุรกิจประกันวินาศภัยทั้งระบบ ที่มีเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ คิดเป็นสัดส่วนถึง 60% อีกทั้งบริษัทมีเป้าหมายที่จะขยับขึ้นไปติดอันดับ 10 “ท็อปเทน” ของอุตสาหกรรมให้ได้ก่อนปี 2558 นี้ ซึ่งการจะไปถึงเป้าหมายต้องขยาย ประกันภัยรถยนต์
“เราจะรุกตลาด รถยนต์ ป้ายดำ ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 ประเภทซ่อมห้างมากขึ้น ลูกค้าหลักยังคงมาจากแบงก์ไทยพาณิชย์ ส่วน รถยนต์ ใหม่ป้ายแดงจะเริ่มขยายเช่นกัน แต่เน้นคัดเลือกลูกค้า โดยจะเพิ่มอู่ในเครือในโครงการ “อู่อุ่นใจ” อีก 4-6 แห่งในกรุงเทพมหานคร จากปัจจุบันมีอยู่ 30 แห่งทั่วประเทศรองรับการให้บริการ เน้นขยายอู่ห้าง ผ่านการสร้างความสัมพันธ์กับทางดีลเลอร์มากขึ้น”
อย่างไรก็ดี การขยาย ประกันภัยรถยนต์ รวมถึงประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพในปีนี้ไม่ง่าย เพราะเจอแรงกดดันจากเงินเฟ้อ และค่ารักษาพยาบาลที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงของทั้งอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเงินเฟ้อน่าห่วงมากที่สุด เพราะหาก รถยนต์ ออกมามาก ต้องเกิดอุบัติเหตุเยอะ ขณะที่อู่และช่างซ่อมขาดแคลน ทำให้ค่าแรง ค่าซ่อมขยับขึ้น
“เงินเฟ้อทำให้อัตราความเสียหาย หรือสินไหมทดแทน (Loss Ratio) สินค้าทุกตัวขยับ รวมถึงพีเอและสุขภาพ แต่ยังไม่รู้จะขยับแค่ไหน อีกทั้งยังมาเจอค่ารักษาพยาบาลที่ปรับเพิ่มขึ้นอีก ปีนี้เราจะออกสินค้าใหม่ทั้ง รถยนต์ พีเอและสุขภาพ ด้วยคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ตามหลักถ้าเงินเฟ้อขึ้น ต้องขึ้นค่าเบี้ย ประกันภัย แต่ทำไม่ง่าย คงต้องดูซักระยะประมาณครึ่งปีหลังถึงจะบอกได้ จะปรับขึ้นค่าเบี้ย ประกันภัย หรือไม่ อย่างพีเอและสุขภาพที่จะออกใหม่ เราคุมความเสี่ยงด้วยการกำหนดช่วงอายุ หรือค่าเสียหายส่วนแรกที่ลูกค้าต้องรับผิดชอบ ทำให้เบี้ย ประกันภัย ไม่แพงเกินไปด้วย”
สำหรับ ประกันภัยรถยนต์ ขณะที่ลอสส์ เรโช อยู่ที่ 55-56% ถ้าตัวเลขขยับไปถึง 60% อาจจะถึงเวลาที่จะต้องปรับค่าเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ เพราะยังมีช่องให้ขยับอยู่ ถ้ายังไม่ถึงเพดานสูงสุดตามที่สำนักงาน คปภ. กำหนด แต่การขึ้นเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ ต้องดูบริษัทอื่นด้วย เท่าที่ดูแนวโน้มเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ ในตลาดปีนี้ขยับแน่ อยู่ที่ว่าจะปรับขึ้นมากหรือน้อย ตัวแปรอยู่ที่ต้นทุน ปรับขึ้นมากเท่าไหร่ ถ้าขึ้น 5% เบี้ย ประกันภัยรถยนต์ จะขยับขึ้น 3% ที่ผ่านมาบริษัทยังไม่เคยถ่ายโอนภาระตรงไปนี้ไปให้ลูกค้า
อย่างไรก็ดีวิธีหนึ่งในการคุมค่าเสียหาย ประกันภัยรถยนต์ คือ ขาย ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 3 บวกมากขึ้น เนื่องจากสินไหมต่ำกว่า ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 มาก ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ 3 บวก เกือบ 40% และประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 60% จะหารือกับธนาคาร เพิ่มการขายสินค้าตัวนี้ โดยเตรียมจะเพิ่มความคุ้มครอง ประกันภัยรถยนต์ 3 บวก ขยับชั้นเป็น ประกันภัยรถยนต์ 2 บวก ซึ่งจะทำให้เบี้ย ประกันภัยรถยนต์ เพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ ซึ่ง ประกันภัยรถยนต์ 3 บวก เกิดมา 7 ปีแล้ว แต่ยังไม่มีการปรับขึ้นค่าเบี้ย ประกันภัยรถยนต์
“แม้ปีนี้เราจะมีต้นทุนเพิ่มทุนมาก ไม่ใช่จากเงินเฟ้อ หรือค่ารักษาบาลเท่านั้น แต่ยังมีต้นทุนอื่นๆ เช่น การจ้างผู้บริหารใหม่ๆ เข้ามาเสริมหลายตำแหน่ง เพื่อรองรับการขยายงาน ซึ่งต้องให้ผลตอบแทนสูง การปรับฐานเงินเดือนขั้นต่ำใหม่ 15,000 บาทตามเรตของภาครัฐอีก แต่กำไรเราก็เพิ่มขึ้นด้วย รายได้ที่เพิ่มกับรายจ่ายที่เพิ่ม เป็นในทิศทางเดียวกัน เราหาตัวช่วยลดต้นทุน เช่น ไอที”
ที่มา : สยามธุรกิจ