โดย กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 15 มีนาคม 2555 เวลา 17:12 น.
กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรับประกันภัยต่อรายเดียวของเมืองไทย ครอบคลุมการรับประกันภัยอุบัติเหตุ การประกันอัคคีภัย การประกันภัยทางทะเลและขนส่ง การประกันภัยเบ็ดเตล็ด การประกันภัยรถยนต์ รวมถึงการประกันชีวิต เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการขายหุ้นเพิ่มทุน ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (Rights offering) และนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement) มูลค่า 7,000 ล้านบาท หลังนักลงทุนแสดงความสนใจซื้อหุ้นเพิ่มทุนอย่างล้นหลาม
การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ ถือว่ามีความยากลำบากพอสมควร เพราะต้องอธิบายให้นักลงทุนเข้าใจถึงอุทกภัยน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงและไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน บริษัทต้องชี้แจงรายละเอียดของแผนการขยายธุรกิจในอนาคต และแนวทางการป้องกันความเสี่ยงจากมหันตภัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน
ทั้งนี้บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้รับประกันการจัดจำหน่าย ได้แจ้งกับบริษัทว่า ตั้งแต่นักลงทุนในประเทศและต่างประเทศทราบข่าวว่า บริษัทจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน นักลงทุนส่วนใหญ่ก็แสดงความสนใจ ขอซื้อหุ้นเพิ่มทุนมากกว่าจำนวนหุ้นที่บริษัทเตรียมเสนอขาย ซึ่งน่าจะเกิดจากผลประกอบการของบริษัทในอดีตที่ดี และเติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด
ที่สำคัญบริษัทยังมีคณะกรรมการ และผู้บริหารที่มีประสบการณ์ และความชำนาญในธุรกิจประกันภัยเป็นอย่างดี เพราะคลุกคลีอยู่ในธุรกิจนี้มายาวนานหลายสิบปี ทำให้มีความรู้ความเข้าใจในตลาดประกันภัยและความต้องการของลูกค้าอย่างชัดเจน ส่งผลให้บริษัทสามารถให้บริการรับประกันภัยต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ให้ความคุ้มครองเหมาะกับผู้เอาประกันไทย
ส่วนตัวมั่นใจว่า “Fairfax Financial Holdings Limited” ซึ่งเป็นพันธมิตรทางกลยุทธ์รายใหม่ของบริษัท จะทำให้อนาคตของบริษัทสดใส เนื่องจากพันธมิตรรายนี้มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านการลงทุนเป็นที่ยอมรับสูง
เม็ดเงินที่ได้จากการขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ ทำให้ไทยรีมีเงินกองทุนใหม่เพิ่มขึ้นอีก 7 พันล้านบาท ทำให้ไทยรีสามารถดำรงอัตราส่วนการดำรงเงินกองทุนต่อเงินกองทุน ที่ต้องดำรงตามกฎหมายได้ตามเกณฑ์ที่ คปภ. กำหนด และจะทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทสามารถยกระดับฐานะการเงินในการดำเนินธุรกิจ เพื่อที่จะสามารถขยายและเติบโตต่อไป ขณะเดียวกันยังช่วยให้การทำธุรกิจประกันภัยต่อ และการหารายได้จากการลงทุนกลับเข้าสู่สภาพปกติ
"จากฐานะการเงินที่แข็งแกร่งมากขึ้นของบริษัท เราเชื่อมั่นว่าจะได้รับการประเมินอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินใหม่จาก Standard & Poor's (S&P) ให้กลับมาอยู่ในระดับเดิม ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์มหันตภัยน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศไทย"
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ