โดย กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 08:00 น.

เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย กล่าวภายหลัง การประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ว่าในที่ประชุมได้มีการหารือ การปรับเปลี่ยนหลักการของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ในส่วนของเบี้ยประกันภัยของภาคเอกชน ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ พระราชกำหนดกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ. 2555 ในการกำหนดการช่วยเหลือทางการเงิน แก่ผู้ประกอบการธุรกิจประกันวินาศภัยในวงเงิน 50,000 ล้านบาท

ที่ประชุม กยอ. ได้มีการหารือถึงการปรับอัตราเบี้ยประกันภัยให้มีความสมเหตุสมผลมากขึ้น ทั้งในส่วนของการให้กลุ่มผู้เอาประกันภัยบ้านที่อยู่อาศัย โดยใช้หลักเกณฑ์เงินคุ้มครองที่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อครัวเรือน โดยการจ่ายสินไหมทดแทนแบ่งเป็น น้ำท่วมพื้นอาคาร 30,000 บาท ระดับน้ำสูง 50 เซนติเมตรจากพื้นอาคาร 50,000 บาท และระดับน้ำสูง 100 เซนติเมตร จากพื้นอาคาร 100,000 บาท

ทั้งนี้ ในส่วนของกลุ่มภาคอุตสาหกรรม มีแนวโน้มปรับอัตราเบี้ยประกันภัยเท่ากันทั้งหมดทุกพื้นที่ ในกรอบ 0.5-2.0% ต่อปี โดยให้เหตุผลว่า ภาคอุตสาหกรรมได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการของรัฐบาล ในการการฟื้นฟูโรงงาน 2 ใน 3 หรือประมาณ 4 พันล้านบาท และอีก 1 ใน 3 จะเป็นความรับผิดชอบของผู้ประกอบการเอง โดยสามารถกู้เงินผ่านธนาคารออมสินในอัตราดอกเบี้ย 0.01% ได้ และจะมีความชัดเจนภายในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อนำให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันสัปดาห์หน้า

อย่างไรก็ตาม จากเดิมที่มีการแบ่งการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยตามพื้นที่เสี่ยงเป็น 4 ระดับคือ ระดับที่ 1 น้ำท่วมซ้ำซากตั้งแต่ 3 ปี ขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยประกันสูงสุด ระดับน้ำท่วมซ้ำซากในระยะ 1-3 ปี อัตราเบี้ยประกันภัยปานกลาง น้ำท่วม 1 ปี อัตราเบี้ยประกันภัยต่ำ และไม่มีน้ำท่วม อัตราเบี้ยประกันต่ำสุด

สำหรับแผนการใช้เงิน 50,000 ล้านบาท จะแบ่งเป็น 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการช่วยเหลือการประกันภัยพิบัติในประเทศ ให้กับกลุ่มอุตสาหกรรม 15,000 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้อกองทุนประกันภัยของต่างประเทศและสำรองไว้ที่ 15,000 ล้านบาท

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ