ทูเดย์อินชัวร์ จำหน่าย ประกันภัยรถยนต์ ราคาถูก
สำหรับสมาชิก todayinsure.com ระบบงาน TodayInsure C.R.M. หมายเลขใบอนุญาตของ TodayInsure: 5104006215
ขณะนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัตหน้าที่อยู่ โทรหาเรา (02) 952-7322, (086)378-9671 หรือ email: sales@todayinsure.com

คลังข้อมูลข่าวย้อนหลัง

กรุงเทพประกันภัย รับปีมะโรงตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยโต 9%

ไตรมาสสี่ 2554 กำไรจากการรับประกันภัยอาจไม่มาก กำไรจากการลงทุนทำกำไรได้มาก มีกำไรจากการขายหุ้น 600-700 ล้านบาท

กรุงเทพประกันภัย รับปีมะโรงตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยโต 9%

มกราคม
5

โดย สยามธุรกิจ วันที่ 28 ธันวาคม 2554 เวลา 00:00 น.

กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2555 บริษัทตั้งเป้าการเติบโต 9% หรือมีเบี้ยรับรวม 12,000 ล้านบาท จากปี 2554 ที่ตั้งเป้าเติบโตไว้ 4% มีเบี้ยรับรวม 11,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทำผลงานได้หย่อนไปกว่าเป้า 57 ล้านบาท โดยยังคงกลยุทธ์ในกรอบเดิมที่ทำมา 3 ปีต่อเนื่อง คือ การขยายตลาดรายย่อย ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากช่องทางขายผ่านแบงก์ (แบงก์แอสชัวรันส์) และการขายผ่านโทรศัพท์ (เทเลมาร์เก็ตติ้ง) และจะขยายตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น ขณะที่การออกสินค้าใหม่ยังคงมีเป็นปกติ โดยจะดูความเหมาะสมของตลาดแต่ละช่วงว่าควรจะออกตัวไหน

สำหรับการพิจารณารับประกันในปี 2555 โดยเฉพาะการประกันภัยทรัพย์สิน ได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัยปี 2554 มาก โดยการประกันความเสี่ยงภัยทุกชนิด หรือ IAR (Industrial All Risk) เบี้ยจะต้องปรับตัวสูงขึ้นแน่ เพราะต้นทุนการจัดประกันภัยต่อเพิ่มขึ้น โดยทางรีอินชัวเรอส์ ได้กำหนดเงื่อนไขความคุ้มครองในส่วนของภัยธรรมชาติ ไม่ใช่เฉพาะภัยน้ำท่วมเท่านั้น ยังมีแผ่นดินไหว ลมพายุ ลูกเห็บ และไฟป่า ซึ่งจะให้คุ้มครองแบบจำกัดวงเงินความรับผิด หรือซับลิมิต (Sub Limit)

“ลูกค้ารายใหญ่ การคิดเบี้ยต้องดูกันที่ต้นทุนการจัดประกันภัยต่อ โดยขณะนี้บริษัทกำหนดคุ้มครองภัยน้ำท่วมสำหรับลูกค้ารายใหญ่ ต้องมีซับลิมิตไม่เกิน 10% ของทุนประกันภัย แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท และต้องรับผิดชอบค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) 10% ของความเสียหาย แต่ไม่ต่ำกว่า 50,000-100,000 บาท ส่วนลูกค้ารายย่อยกำหนดคุ้มครองแบบซับลิมิต 20% ของทุนประกันภัย โดยที่เบี้ยอาจจะปรับขึ้นไม่มาก โดยการต่อสัญญาคุ้มครองภัยน้ำท่วม ขณะนี้ได้เจรจากับรีอินชัวเรอส์ ที่เป็นลีดเดอร์ในระดับหนึ่งแล้ว คาดว่าจะสามารถต่อสัญญาได้ทันก่อนสิ้นปี 2554”

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะปรับอัตราเบี้ยประกันรถยนต์ชั้น1 จากที่ไม่เคยปรับเพิ่มเบี้ยเลยตั้งแต่ปี 2551 ขณะที่ตลาดมีการปรับเพิ่มเบี้ย 2-3% ต่อปีมาตลอด 3 ปี ซึ่งเท่ากับปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 10% ตามต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านอู่ อะไหล่ และค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้น แต่บริษัทจะปรับเพิ่มขึ้นไม่ถึง 10% คาดว่าจะเพียงหลักร้อยบาทเท่านั้น เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุน

“ประกันภัยรถยนต์เราคงต้องซื้อความคุ้มครอง ความเสียหายส่วนเกิน (Excess Of Loss) เพิ่มขึ้นจากเดิม 4-8 เท่าจากปี 2554 เพราะไม่คาดว่ารถยนต์จะได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมมากถึง 2,500 คัน จากตอนน้ำท่วมหาดใหญ่ 300-400 คันก็ถือว่าเยอะแล้ว แต่ครั้งนี้หนักกว่า ส่วนประกันภัยทรัพย์สินถือว่าค่อนข้างแข็งแรง ปี 2554 ที่ซื้อไว้ถือว่าเราปริ่มๆ ปีหน้าคงซื้อเพิ่มอีกเท่าตัว”

ผู้อำนวยการฝ่ายสินไหมทดแทน กล่าวถึงความเสียหายจากมหาอุทกภัยน้ำท่วมว่า มากกว่าความเสียหายจากสึนามิปี 2547 ถึง 10 เท่า โดยประเมินเบื้องต้น มีกรมธรรม์ประกันภัยที่ได้รับความเสียหายรวมประมาณ 7,500 กรมธรรม์ ค่าสินไหมทดแทนรวมประมาณ 22,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ 20,000 ล้านบาท เป็นค่าสินไหมของการประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิด ส่วนกรมธรรม์ประกันภัยการก่อสร้าง 350 กรมธรรม์ เป็นค่าสินไหม 150 ล้านบาท ขณะที่ลูกค้ารายย่อยประเภทบ้านอยู่อาศัย 4,000 กรมธรรม์ เป็นค่าสินไหม 2,000 ล้านบาท รถยนต์ 2,500 คัน เป็นค่าสินไหมรวม 400 ล้านบาท โดย 1 ใน 3 หรือประมาณ 800 คัน เป็นรถที่เสียหายสิ้นเชิง (Total Loss)

“ค่าสินไหมเบื้องต้น 22,000 ล้านบาท เรามีการประกันภัยต่อ และซื้อ Excess Of Loss ไว้ ทำให้คาดว่าสินไหมจริงที่ต้องจ่ายเพียง 800 ล้านบาท ซึ่งไม่กระทบต่อฐานะการเงินของบริษัท และเราพยายามจ่ายเคลมให้เร็วที่สุด โดยลูกค้ารายย่อยจะจ่ายสินไหมให้เสร็จภายใน 3 เดือน ส่วนลูกค้าประกันรถยนต์ที่ Total Loss หากเอกสารครบ 7 วันเราก็สามารถจ่ายได้ทันที ขณะที่ลูกค้ารายใหญ่ เรามีนโยบายชัดเจนทยอยจ่ายเพื่อให้ลูกค้านำเงินไปฟื้นฟูกิจการ โดยคาดว่าจะจ่าย 75% ของความเสียหายได้ใน 6 เดือน โดยลูกค้าประกันรถยนต์ตอนนี้จ่ายไป 50-60 ล้านบาทแล้ว ส่วนประกันอัคคีภัยจ่ายไป 40 ล้านบาท และรายใหญ่จ่ายไปประมาณ 1,500 ล้านบาทแล้ว”

ด้านประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร กล่าวเสริมว่า บริษัทมีกำไรรองรับค่อนข้างเหลือเฟือ โดยในไตรมาสสาม 2554 มีกำไรจากการรับประกัน 1,902 ล้านบาท แต่ในไตรมาสสี่ 2554 กำไรจากการรับประกันภัยอาจไม่มาก เพราะกระทบจากน้ำท่วม แต่กำไรจากการลงทุนกลับทำกำไรได้มาก โดยมีกำไรจากการขายหุ้น 600-700 ล้านบาทเข้ามา เนื่องจากตลาดหุ้นปี2554 ดัชนีพุ่งขึ้นสูง แต่ปี2555 น่าจะลดลง ซึ่งบริษัทมีพอร์ตลงทุนในหุ้น 3,000 ล้านบาท แต่มีกำไรถึง 12,000 ล้านบาท ดังนั้นการจ่ายเคลมจึงไม่กระทบต่อฐานะการเงิน และการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้น

“เรามี KPI ทุกปีจะต้องมีกำไร 12% จากเบี้ยรับสุทธิ ซึ่งในปี 2553 เราทำได้ 13% แต่ปี2554 เชื่อว่าจะทำได้ต่ำกว่า 5% และแม้ว่าไตรมาสสาม-สี่ปี2554 ผลกำไรจะติดลบ แต่เรายังมีกำไรสะสมอยู่ถึง 2,000 กว่าล้านบาท และมีเพียงพอต่อการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตรา 12 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นนโยบายของเราได้อย่างแน่นอน จากราคาพาร์ของเราอยู่ที่หุ้นละ 10 บาท”

ที่มา : สยามธุรกิจ